เทคนิคฟังภาษาอังกฤษให้เข้าใจ

4909

1. ต้องเข้าใจก่อนว่าในภาษาอังกฤษนั้น มีลดรูปเยอะมาก โดยเฉพาะแบบอเมริกัน 

คนอเมริกันส่วนใหญ่มักจะลดรูปเวลาที่พูด ตัวอย่างประโยคที่ว่า 

.

“Don’t you want to get a coffee later?” “ดอนท์ ยูว วัน ทู เกทะ คอฟฟี่ เลเท่อะ?”
คุณไม่อยากไปดื่มกาแฟกันหลังจากนี้เหรอ

หลังจากนั้นเขาก็จะรวมคำด้วยกันและกลายเป็น 

Duhwntchuh wanna gedduh coffee layder? “ดวอนท์ชูว วันนา เกดดาห์ คอฟฟี่ เลเดอร์?”

  • เขาได้ลดคำว่า “don’t you” เป็น /duhwntchuh/,
  • want to” ้เป็น  /wanna/
  • และ “get a ” เป็น /gedduh/.

เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นได้ว่าการที่คุณจะสามารถเข้าใจจริงๆว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นพูดอะไร เพื่อที่จะช่วยให้คุณนั้นเข้าใจได้ง่ายและไวมากขึ้น คือต้องรู้ก่อนว่าเขาใช้ลดรูปอะไรและมันแปลว่าอะไร


2. ถ้าอยากฝึกจริงๆ พยายามฝึกจากต้นฉบับ จากเจ้าของภาษาจริงๆ
ไม่ใช่แบบที่เขาพูดช้าๆแล้วเราเอามาฝึกฟัง 

ถ้าคุณอยากจะเข้าใจหรือต้องการที่จะเข้าใจวิธีที่ฝรั่งหรือชาวต่างชาตินั้นเขาพูดจริงๆ

คุณจะต้องฟังจากฉบับจริง หมายถึงฟังของเจ้าของภาษาจริงๆ คือบางทีเราก็อยากฝึกฟังง่ายๆก่อน โดยการไปหาช่องทางที่เขาพูดช้าๆ หรือว่าฝึกฟังจากคลิปเสียงที่เขาเริ่มจากพูดช้าๆ ง่ายๆ ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ยแนะนำว่าฟังแบบเจ้าของภาษาที่เขาพูดจริงๆเลย ไม่ต้องไปสนใจว่ามันช้าเกินไปเร็วเกินไป แต่ถ้ามาจากเจ้าของภาษาที่เขาใช้จริงในชีวิตประจำวัน มันจะทำให้เรานั้นฝึกได้เร็วกว่า


3. พยายามฝึกฝนอยู่บ่อยๆ เป็นประจำ ฝึกให้เป็นกิจวัตรเลยยิ่งดี 

คุณมีรายการ หนัง เพลง ภาพยนตร์ ช่องใน YouTube รายการโปรดที่เป็นภาษาอังกฤษกี่รายการ
คุณเคยนับไหม

ซึ่งหลายๆคนก็มีวิธีในการเรียนภาษาอังกฤษของตัวเองแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่แล้ววิธีที่ง่ายที่สุดเนี่ยก็คือการดูหนังฟังเพลงเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมันถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆที่ได้ฝึกอะไรที่เรานั้นได้เอนจอยกับมันไปด้วย แต่จริงๆแล้วมันไม่พอ เราอาจจะต้องหาช่องทางฝึกเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียงบนโลกออนไลน์อินเทอร์เน็ตเยอะแยะมากมาย หรือบนเว็บไซต์ของ Engnow.in.th เอง ก็มีข้อมูลในรูปแบบภาษาอังกฤษหลากหลายเหมือนกัน


4. ฝึกการฟังทั้งรูปแบบของ ACTIVE และ PASSIVE 

งงล่ะสิอะไรคือ ACTIVE และ PASSIVE เอาง่ายๆเลยเวลาที่เราฝึกฟังภาษาอังกฤษเนี่ยมันจะมี 2 แบบ

ซึ่งการที่เราจะฝึกฟังนั้นเราต้องมีทั้ง 2 แบบ แบบแรกคือแบบ PASSIVE ก็อย่างเช่นพวกดูหนัง ฟังเพลง อ่านการ์ตูน อ่านนิยาย คือมันก็ช่วยได้ประมาณนึงแต่มันอาจจะช้าหน่อย เนื่องจากเรานั้นค่อยๆซึมซับจากสิ่งเหล่านี้ แต่แบบ Active นั้น จะฮาร์ดคอร์มากกว่านี้  และนี่คือกิจกรรมที่คุณนั้นสามารถกระตุ้นตัวเองในการเรียนภาษาอังกฤษได้ซึ่งนอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของการออกเสียงอีกด้วย

และนี่คือเทคนิคที่เขาเรียกว่า Shadow reading มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง 

  • 1. พยายามดู Script ที่คลิปเสียงนั้นเขาพูด
    ดูว่ามันมีคำว่าอะไรบ้างซึ่งมีหลายช่องทางมากๆใน YouTube หรือบนโลกอินเทอร์เน็ตที่เขานั้นมีคลิปเสียงให้ฝึกฟังและยังมีสคริปต์ให้ปริ้นด้วย 
  • 2. พอเราฟังคลิปเสียงนั้นเสร็จแล้ว พยายามอ่านไปพร้อมกับคลิปเสียง
    เขาพูดว่าอะไรเราก็พูดพร้อมเขาเลย ไม่ใช่ฟังแล้วค่อยมาพูดนะ ให้พูดพร้อมเขาไปเลย อันนี้จะช่วยทำให้เรานั้นรู้ถึงจังหวะของเสียงสูงเสียงต่ำในประโยค และช่วยในเรื่องของการออกเสียงที่ถูกต้องได้ด้วย






5. ผิดเป็นครู ผิดก็ไม่เป็นไร ฝึกพูดใหม่ก็ได้ ไม่มีใครตาย

อย่างแรกเลยต้องบอกก่อนว่า เวลาที่เราพูดภาษาอังกฤษ แล้วออกเสียงผิด พูดคำผิด หรือเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่รู้สึกว่ามันผิด หลายๆคนจะรู้สึกแย่กับมันทันที เพราะอะไร ? กลัวว่าคนอื่นนั้นจะตัดสินเรา ว่าเรานั้นไม่เก่ง

จริงๆแล้วเนี่ยต้องบอกก่อนว่าคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นเจ้าของภาษาเองเนี่ยเขาก็ยังมีข้อผิดพลาดในการพูดภาษาตัวเขาเองเลย อย่างเราอย่างนี้ เราเป็นคนไทย บางทีภาษาไทยเราพูดออกไปก็สลับกันผิดๆถูกๆ ก็ไม่ได้มีใครมาตัดสินเรา

เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องไปกลัวถ้าเกิดว่าเราพูดผิด 

ซึ่งถ้าเรารู้ว่าเราผิดนั้น ก็จะได้เป็นบทเรียนกับเราเพื่อที่ครั้งต่อๆไปเราจะได้นำไปแก้ไข ต้องบอกก่อนว่าพูดผิดเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ไม่อย่างนั้นเราจะมานั่งเรียนภาษาอังกฤษกันทำไม ก็เพราะเราไม่รู้ไง การที่เราทำผิดพลาดคือการที่เราไม่รู้ แต่เราสามารถพัฒนาและปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้  ดังนั้นถ้ารู้ว่าเราพูดผิด ก็แค่แก้ไขให้มันถูกต้องเท่านั้นเอง


หลายๆคนอาจจะงงว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการฟัง ??

ต้องบอกก่อนว่าเวลาที่เราฟังเจ้าของภาษาเขาพูดเนี่ย บางทีมันก็มีผิดพลาดกันบ้าง อาจจะไม่ได้ตั้งใจหรืออาจจะตั้งใจก็ตาม เพราะเนื่องจากภาษาอังกฤษในปัจจุบันมันมีอะไรใหม่ๆเยอะแยะมาก


อย่างเช่นพวกคำสแลง การลดรูป ที่ไม่เป็นทางการมากๆแล้วเขาใช้กันในภาษาพูด สิ่งเหล่านี้นั้นทำให้เราเห็นว่า ภาษาอังกฤษหรือภาษาอะไรก็ตามมันก็มีการพัฒนาอย่างเสมอ ดังนั้นเราจะต้องดูดีๆว่าบางทีเขาก็ไม่ได้พูดผิด แต่มันเป็นเรื่องของเทรน หรืออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน 

ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างภาษาไทยเรามีคำว่า “ขิง”

แน่นอนคำนี้มีความหมายว่าโอ้อวด ซึ่งคำนี้เนี่ยคนไทยเองก็ไม่ใช้ในภาษาราชการ มันเป็นแสดงที่เกิดมาจากความนิยมในหมู่วัยรุ่น ในขณะเดียวกันภาษาอังกฤษก็มีเหมือนกัน

ดังนั้นแล้วบางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องของการพูดผิด เขาอาจจะใช้คำใหม่ๆที่กำลังนิยมในขณะนั้นก็ได้ ก็ต้องคอยติดตามและคอยดูว่าเออมันมีอะไรอัพเดทหรือเป็นเทรนอยู่บ้างในตอนนี้ เพื่อที่จะทำให้เรานั้นฟังภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจและรู้เรื่องจริงๆ 


ยังไงก็ต้องขอเอาใจช่วยกับทุกๆคนที่กำลังพยายามและฝึกฝนในการพูด การฟัง  การอ่าน  การเขียนภาษาอังกฤษ มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปจนเรานั้นไม่สามารถทำได้ ขอแค่ให้พยายามและฝึกฝนอยู่บ่อยๆ

ขอให้โชคดีนะคะ ทางทีมงานของอิงนาวก็ขอเอาใจช่วย

Share
.