ฝึกประโยคภาษาอังกฤษเอาไว้ไปเที่ยว (ทิพย์)

1950

เนื่องจากสถานการณ์มีช่วงนี้นั้นทำให้หลายๆคนจะต้องอยู่ที่บ้าน ไม่สามารถออกไปเที่ยวไหนได้ ทั้งๆที่ในใจนั้นอยากจะไปเที่ยวทะเล อยากจะไปชมภูเขา อยากจะไปสวนสนุกกับเพื่อน แต่ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่เเอดเชื่อว่าเร็วๆนี้โรคนี้จะหายไป ทุกคนอาจจะได้รับวัคซีนกันอย่างทั่วถึงในอนาคตเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นระหว่างนี้เพื่อเป็นการเตรียมตัวเอาไว้เพื่อที่ว่าเราจะได้ท่องเที่ยวในอนาคต มาดูกันว่าประโยคหรือวลีที่ต้องรู้เวลาที่เราจะไปเที่ยวมีอะไรบ้าง 
.
.
.

Admin จะขออนุญาตแบ่งเป็นสถานการณ์เพื่อให้มีความชัดเจน 

.

At the Airport (ที่สนามบิน)

  • I would like _____ 

    ประโยคนี้จะเอาไว้ใช้เวลาที่เราต้องการอะไรบางอย่างนั้นเอง ในภาษาอังกฤษเราจะไม่ค่อยพูดคำว่า I want _____ เพราะมันดูไม่ค่อยทางการนั้นเอง เพราะฉะนั้นแล้วควรจะใช้คำว่า I would like จะดีกว่า เขาจะพังสุภาพกว่าเยอะมากๆเลย
  • What time is my flight?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า ใช้ของฉันนั้นออกเวลากี่โมงหรอ สามารถถามได้กับพนักงานทางสายการบิน ในเวลาที่เราไม่มั่นใจเวลาที่เราอ่านไม่เข้าใจกับตั๋วเดินทาง
  • What airline am I flying?

    ฉันกำลังจะบินไปกับสายการบินไหนหรอ  เวลาที่เราไปสนามบินนั้นเราอาจจะงงกับสายการบินเนื่องจากมีหลายไฟลท์มากๆที่ต้องบิน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจเราจึงต้องถามนั่นเอง 
  • Where is my gate?

    เกตของฉันอยู่ทางไหนหรอ เพื่อที่จะได้รู้ว่าช่องที่เราจะต้องไปนั่งรอเพื่อที่จะได้ขึ้นเครื่องนั้นอยู่ที่ไหนประโยคนี้จึงสำคัญมากๆนะคะ รู้ไว้จะดีมากๆเลยเพราะว่าเวลาที่เราหลงนั้นเราจะได้จำได้ และไม่ตกเครื่องด้วย 
  • How much does the magazine cost?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า นิตยสารเล่มนี้เท่าไหร่หรอ เวลาที่เราจะต้องการถามราคา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มหรือของกินก็ตาม สามารถใช้ประโยคนี้ได้เลย เพียงแค่คุณเอาคำว่า magazine ออก และแทนด้วยสิ่งที่คุณต้องการจะถามเพื่อที่จะได้ทราบราคา

.
.
.

On the Airplane (บนเครื่องบิน)

  • Are meals included?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า รวมค่าอาหารด้วยไหม เพราะว่าบางทีนั้นบางสายการบินจะไม่ได้คิดค่าเครื่องรวมกับค่าอาหารบนเครื่อง บางสายการบินนั้นจะคิดแยกกัน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจเราจึงควรถามก่อน
  • May I have something to eat/drink?

    ประโยคนี้ดีมากๆไม่ว่าจะเป็นที่ร้านอาหารหรือบนเครื่องก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน ทำใจได้ว่าฉันขอสั่งอาหารหรือสั่งเครื่องดื่มนั่นเอง แต่งประโยคนี้จะสุภาพมากๆ 
  • What time is it?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว ประโยคนี้ดีมากๆและสามารถใช้ได้ทุกเวลาไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะบนเครื่องบิน เวลาที่เราหลงทางหรือเวลาที่โทรศัพท์เราแบตหมดแล้วไม่สามารถดูเวลาได้นั้น เราสามารถใช้ประโยคนี้ได้เลย โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องมีไปต่างประเทศและมี Time zone ที่ไม่เหมือนกับประเทศที่เรามา คำถามนี้จึงจำเป็นอย่างมากๆที่ต้องรู้

.
.
.

At Customs (ที่ด่านศุลกากร)

หลังจากที่เราลงเครื่องแล้วนะหลายๆคนก็น่าจะรู้ว่าเราจะต้องไปที่ด่านศุลกากร เพื่อที่จะต้องบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าทำไมเราถึงมาประเทศนี้มีจุดประสงค์อะไร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการทำงานหรือเพื่อการเที่ยวก็ตาม แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปนะ ถ้ารู้ประโยคเหล่านี้จะช่วยคุณได้แน่นอน

  • I have a connecting flight.

    ถ้าเกิดว่าการที่คุณต้องไปที่ด่านศุลกากรนั้นเพื่อรอขึ้นเครื่องอีกเครื่องหนึ่ง คุณสามารถใช้ประโยคนี้ได้ มันแปลได้ว่าเรามารอเพื่อต่อเครื่อง แบบนี้เจ้าหน้าที่ก็จะรู้ทันทีว่าจุดประสงค์ที่เราต้องมาที่สนามบินนี้เพื่ออะไร
  • I am traveling for leisure.

    ถ้าเกิดเรากำลังจะไปเที่ยวเพื่อที่จะพักผ่อนหย่อนใจ มาดูความสวยงามของภูมิประเทศ หรือมาชื่นชมศิลปะการเป็นอยู่และซึมซับวัฒนธรรมของประเทศนั้น สามารถใช้ประโยคนี้ได้เลยค่อนข้างตรงไปตรงมา 
  • I am traveling for work.

    ประโยคนี้เอาไว้ใช้ก็ต่อเมื่อเวลาที่เราเดินทางไปต่างประเทศเพื่อมีจุดประสงค์เพื่อการทำงาน ก็ควรใช้ประโยคนี้บอกกับเจ้าหน้าที่ 
  • I will be here for ___ days. 

    ในช่องว่างนั้นควรจะเติมวัน เพราะเนื่องจากว่าประโยคนี้แปลได้ว่า ฉันจะมาอยู่ที่นี่ ____ วัน เพราะบางประเทศนั้นค่อนข้างเคร่งกับนักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศ เพื่อเป็นการไม่ให้มีการลักลอบแรงงานหรืออย่างอื่นที่ผิดกฎหมายเข้ามา บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็มีการถามย้ำอย่างชัดเจนว่าเราต้องการอยู่กี่วันในประเทศนั้นๆ ก็สามารถเติมในช่องว่างได้เลย
  • I am visiting family.

    ในกรณีที่คุณไปเพื่อเยี่ยมใครบางคน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือแฟนก็ตาม คุณก็สามารถใช้ประโยคนี้ได้เหมือนกัน เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเรามาประเทศนี้เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวหรือเพื่อนหรือแฟนนะ และบางประเทศนั้นก็อาจจะเคร่งเรื่องการขอที่อยู่ของครอบครัวหรือเพื่อนหรือแฟนที่เราต้องการจะไปเยี่ยมด้วย ก็อย่าลืมให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ให้ครบถ้วนล่ะ 
  • I am staying at _____.

    นอกเหนือจากวันที่เราจะมาอยู่แล้ว การที่ต้องบอกสถานที่กับเจ้าหน้าที่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ บางประเทศเคร่งมากๆถึงกับจะต้องแสดงตั๋วจองโรงแรมให้เจ้าหน้าที่ดูกันเลยทีเดียว เพื่อยืนยันว่าเรามาที่นี่และมีการจองจริงๆนะ เพราะฉะนั้นแล้วการที่เราจะต้องบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าเราอาศัยอยู่ที่โรงแรมไหนหรือเมืองไหนนั้น ก็สำคัญมากๆสามารถใช้ประโยคนี้ได้เลย 

.
.
.

At the Hotel (ที่โรงแรม)

ที่โรงแรมก็เป็นอีกที่นึงที่เราควรจะพูดภาษาอังกฤษให้พนักงานได้เข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะว่าเวลาที่เราจะต้องการอะไรจากพนักงานโรงแรมนั้น เพื่อให้เป็นการสื่อสารที่เข้าใจทั้งสองฝ่ายและไม่มีการผิดพลาดก็ควรจะรู้ว่าดีเหล่านี้

  • Does the room have a bathroom?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า ห้องนี้มีห้องน้ำด้วยไหม คือบางโรงแรมอาจจะมีห้องน้ำรวมไม่ได้มีห้องน้ำส่วนตัวให้ในห้อง จึงดีมากๆที่ควรจะถามกับพนักงานก่อนว่าห้องน้ำนั้นอยู่ในห้องส่วนตัวหรือเปล่า 
  • How many beds are in the room?

    ในกรณีที่เราไปกันหลายๆคนนั้น ประโยคนี้จะมีความหมายว่า ห้องนี้มีเตียงกี่เตียง เพื่อที่จะทำให้สมาชิกของเราที่ไปเที่ยวนั้นได้มีเตียงนอนกันทุกคน เราจึงควรถามพนักงานให้แน่ใจก่อนว่าห้องนั้นมีเตียงพอสำหรับคนของเราหรือไม่
  • What floor am I on?

    เพื่อเป็นการที่ไม่ให้เรานั้นหลงเองในโรงแรม เราก็ควรจะถามฉันให้ชัดเจนว่าเรานั้นพักอยู่ชั้นไหน ก็สามารถใช้ประโยคนี้ได้เลย
  • Where are the elevators?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า ลิฟต์อยู่ไหนหรอ บางทีโรงแรมอาจจะใหญ่มากๆซึ่งมีห้องโถงที่ค่อนข้างซับซ้อน ก็เป็นการดีที่เราควรจะมั่นใจว่าเราจะสามารถไปถึงห้องเรานั้นได้ยังไง
  • How do I access the Internet?

    ประโยคนี้เป็นประโยคที่สำคัญมากๆ อย่างเช่น Admin เพราะประโยคนี้แปลได้ว่า ฉันจะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร เอาง่ายๆก็คือต้องการรู้รหัสการเข้าอินเตอร์เน็ตนั่นเอง ดังนั้นแล้วประโยคนี้สามารถถามกับพนักงานได้เลย เพราะส่วนใหญ่แล้วทุกๆโรงแรมจะมีอินเตอร์เน็ตให้ฟรี
  • Is there free breakfast?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า อาหารเช้าฟรีด้วยไหม เพราะว่าหลายๆโรงแรมนั้นเวลาที่เราซื้อห้องพัก เขาจะมีแพ็คเกจแถมอาหารเช้าฟรี

.
.
.

Around Town (ออกไปเที่ยวข้างนอก)

และหัวข้อสุดท้ายนั่นก็คือ หัวข้อที่ว่าเวลาเราออกไปเยี่ยมชมสถานที่หรือไปเที่ยวสถานที่ต่างๆเราควรรู้ว่ามีอะไรบ้างนั่นเอง

  • Where can I find a grocery store?

    ประโยคนี้แปลได้ว่าฉันสามารถซื้อของได้ที่ไหนหรอ นั่นหมายความว่าพวกของกินนั่นเอง บางทีเวลาที่เราไปต่างประเทศเราอาจจะไม่ถูกใจกับอาหารของประเทศนั้นๆ การซื้อของมาทำกินเองก็เป็นอีกตัวเลือกนึงถ้าคุณไม่ต้องการที่จะไปนั่งกินในร้านอาหาร คุณก็สามารถถามพนักงานโรงแรมได้เลยว่าคุณสามารถไปซื้อของได้ที่ไหน
  • Where is the hospital?

    ประโยคนี้แปลได้ว่า โรงแรมอยู่ที่ไหนหรอ ซึ่งบางทีนั้นเราอาจจะได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม โรงแรมก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เราควรจะรู้ไว้เวลาที่เราไปเที่ยวในที่นั้นๆ เผื่อกรณีที่เราจำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เราจะได้ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดนั่นเอง
  • Where can I find a restaurant?

    ประโยคนี้ก็เป็นอีกประโยคหนึ่งที่กันตายมากๆ ซึ่งประโยคนี้มีความหมายที่ว่า ฉันสามารถหาร้านอาหารได้ที่ไหนหรอ เวลาที่เราต้องการจะทานอาหารหรือออกไปกินอะไรข้างนอก ประโยคนี้สามารถถามกับพนักงานโรงแรมหรือคนทั่วไปได้เหมือนกัน เนื่องจากเราไม่ใช่คนถิ่นนั้น
  • Where is the bank?

    ธนาคารอยู่ที่ไหนหรอ อีกสิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรู้นั่นก็คือสถานที่ธนาคาร หรือตู้ ATM เพราะเราจะได้ถอนเงินนั่นเอง
Share
.