– Federico Fellini
ในบ่ายวันอาทิตย์เมื่อหลายปีก่อน ผมคิดว่ามันคงจะสนุกถ้าได้ลองเขียนบทกวีเป็นภาษาสเปน ผมคิดว่าผมคงอ่านงานเขียนของ Pablo Neruda มากเกินไป
ผมไม่ได้เขียนบทกวีมาตั้งแต่สมัยมัธยมและผมเรียนภาษาสเปนเพียงห้าปีเท่านั้น (ภาษาแม่ของผมคือ ภาษาอังกฤษ) บทกวีจบลงด้วยความยากลำบากในการเขียนมากกว่าที่ผมคิดไว้
แม้จะมีความกังวลเล็กน้อยว่า เจ้าของภาษาอาจจะหัวเราะเยาะสิ่งที่ผมเขียนใส่กระดาษ แต่ในที่สุดผมก็สามารถที่จะเขียนบทกวีจนจบ (คุณสามารถอ่านได้ ที่นี่) มันไม่ได้ใกล้เคียงกับบทกวีของ Neruda แต่สำหรับผมแล้ว มันรู้สึกเหมือนความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการเขียน
.
.
.
ถ้าคุณเคยเขียนด้วยภาษาต่างประเทศ คุณอาจมีประสบการณ์คล้ายกับผม (บางทีภาษาอังกฤษอาจเป็นภาษาต่างประเทศสำหรับคุณ) คุณจะท้อใจเมื่อเขียนผิดพลาดอยู่เนืองๆ และอาจเป็นเรื่องยากที่จะคิดออกว่า จะใช้คำใดในการแสดงความหมายออกมาอย่างถูกต้อง
แต่มันเป็นความรู้สึกที่คุ้มค่าอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อคุณพยายามต่อไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็มีงานที่เสร็จสมบูรณ์ที่คุณภาคภูมิใจ
ผมเชื่อว่าด้วยการฝึกฝนทุกคนสามารถพัฒนาทักษะการเขียนของตนได้ ตอนที่ผมเป็นติวเตอร์สอนการเขียน ผมเห็นนักเรียนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง มีความก้าวหน้าอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อพวกเขาใช้เวลาเขียนในแต่ละสัปดาห์
สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมเช่นเดียวกันกับตอนที่ผมฝึกเขียนเป็นภาษาต่างประเทศ เมื่อผมเริ่มเรียนภาษาสเปนครั้งแรก ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะสามารถเขียนบทกวีได้ แต่ตอนนี้หลังจากเรียนมาหลายปี ผมไม่เพียงแต่สามารถเขียนเป็นภาษาสเปนได้ แต่ยังเขียนเป็นภาษาอิตาลีและฝรั่งเศสได้อีกด้วย
(ที่จริง ผมเพิ่งเรียนภาษาฝรั่งเศสมาได้ไม่กี่ปี ดังนั้น ผมยังต้องฝึกฝนอีกหน่อย ก่อนที่ผมจะสามารถเขียนบทกวีได้😉)
.
.
.
หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาต่างประเทศ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับแปดข้อที่จะช่วยให้คุณฝึกฝนได้ดีที่สุด:
1. มองข้อผิดพลาดว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้
การเขียนภาษาต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คุณจะทำผิดพลาดและบางคนก็อาจจะรู้สึกอับอายขายหน้า
เมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ผมจะพยายามนิ่งเฉยและเตือนตัวเองว่า ขนาดเขียนภาษาของตัวเอง ผมยังเขียนผิดเป็นครั้งคราวเลย (ผมแน่ใจว่า คุณต้องเคยเขียนภาษาของตัวเองผิดเหมือนกัน) โดยธรรมชาติแล้ว เราย่อมทำผิดพลาดไม่มากก็น้อย เมื่อเราหัดเขียนเป็นภาษาต่างประเทศ
แต่อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดทำให้คุณท้อแท้และหวาดกลัวที่จะเขียนคำพูดลงไปบนกระดาษ ให้มองความผิดพลาดในทางบวกและใช้มันเป็นโอกาสในการเรียนรู้
ข้อผิดพลาดช่วยให้คุณรู้ว่า คุณต้องฝึกฝนเพิ่มเติมในด้านใด จงเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจว่า ทำไม สิ่งที่คุณเขียน จึงไม่ถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดซ้ำอีกในอนาคต
.
.
.
2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดคำ เพื่อแก้ไขการเขียนของคุณ
จากเคล็ดลับข้อที่ 1 ผมจึงชอบใช้เครื่องมือตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดคำ เพื่อให้ผมสามารถเห็นข้อผิดพลาดส่วนใหญ่เวลาที่ผมร่างการเขียนครั้งแรก ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้ผมได้รับข้อเสนอแนะทันทีในการเขียนของผม เพื่อที่ข้อผิดพลาดนั้นจะได้ไม่เข้ามาฝังอยู่ในสมองของผม
Grammarly ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมหากคุณฝึกเขียนภาษาอังกฤษ คุณสามารถค้นหาแอปฯที่คล้ายกันสำหรับภาษาอื่นๆได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากเป็นคอมพิวเตอร์ของค่าย Apple คุณสามารถเปิดใช้งานคีย์บอร์ดสำหรับภาษาต่างๆได้
ลองอ่านบทความของผม ที่นี่ เกี่ยวกับเครื่องมือการแก้ไขเพิ่มเติม (เกือบทั้งหมดมีไว้สำหรับการเขียนภาษาอังกฤษ)
.
.
.
3. คิดเป็นภาษาที่คุณต้องการจะเขียน
ผมค้นพบว่า ผมมักทำผิดพลาดมากที่สุดเมื่อพยายามแปลความคิดของผมเป็นภาษาอังกฤษโดยตรงในระหว่างที่เขียนภาษาสเปน อิตาลี หรือฝรั่งเศส
วิธีหนึ่งที่ผมหลีกเลี่ยงปัญหานี้ คือ การให้เวลากับตัวเองมากๆและไม่รีบเร่งเมื่อผมเขียนเป็นภาษาต่างประเทศ ผมใช้เวลาคิดนานกว่าปกติเล็กน้อยในภาษาสเปน (นานกว่าภาษาอังกฤษ) และเวลาที่ประมวลความคิดเหล่านั้นลงบนหน้ากระดาษ แต่ผมทำผิดพลาดน้อยลง
เมื่อผมต้องการแปลจากภาษาอังกฤษ ผมชอบที่จะใช้ Linguee อันเป็นเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งคุณสามารถพิมพ์วลีจากภาษาแม่ของคุณและดูว่ามันจะแปลเป็นภาษาที่คุณกำลังศึกษาอยู่ว่าอย่างไร (เลือกแปลได้เจ็ดภาษา) Google Translate ก็มีประโยชน์ในเรื่องนี้เช่นกัน
.
.
.
4. การเป็นนักอ่านตัวยง
การอ่านภาษาต่างประเทศเยอะๆ เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาด้านคำศัพท์ เสริมสร้างทักษะการเขียน และซึมซับไวยากรณ์ของภาษานั้นๆ
ในแต่ละภาษาที่ผมเรียน ผมจะพยายามอ่านทุกอย่างเท่าที่ผมสามารถอ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย บทความในหนังสือพิมพ์ บทกวี การ์ตูน คู่มือการใช้งาน และอื่นๆอีกมากมาย
การฟังหนังสือเสียงไม่ได้ช่วยอะไร คุณต้องอ่านหนังสือแบบเป็นเล่ม หรือ eBook เพื่อให้คุณสามารถสังเกตเครื่องหมายวรรคตอน การสะกดคำ และเทคนิคการใช้สำนวนโวหารของผู้เขียน
.
.
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ การอ่านบทความหรือหนังสือประเภทที่คุณต้องการจะเขียน อันจักช่วยให้คุณเรียนรู้คำศัพท์และรูปแบบเฉพาะของการเขียนประเภทนั้นๆ ตัวอย่างเช่น บทความด้านพัฒนาตนเองมักจะมีรูปแบบการเขียนเชิงสนทนามากกว่าแบบเรียงความที่คุณเขียนส่งให้อาจารย์ในวิทยาลัย
เวลาผมอ่านภาษาต่างประเทศ ผมชอบที่จะจดสำนวนด้วยเช่นกัน มันเป็นวลีที่มักจะไม่ได้แปลตรงตัวและจะเป็นที่เข้าใจสำหรับผู้ที่เข้าถึงภาษานั้นๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการอวยพรเป็นภาษาอิตาลี คุณสามารถพูดได้ว่า “In bocca al lupo” (หากแปลตรงตัว ประโยคดังกล่าวจะหมายถึง “การอยู่ในปากของหมาป่า”)
การใช้สำนวนเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มสีสันให้การเขียนของคุณและทำให้คุณดูเหมือนเจ้าของภาษามากขึ้น
.
.
.
5. ทำสมุดบันทึกวลี
หากคุณจะเริ่มรวบรวมสำนวนตามที่ผมแนะนำในเคล็ดลับข้อที่ 4 ผมขอแนะนำให้เก็บไว้ในสมุดบันทึกวลีส่วนตัวของคุณเอง ซึ่งคุณอาจจะจดบันทึกไว้ใน Google Doc หรือ Evernote ก็ได้
คุณสามารถแบ่งมันออกเป็นหมวดหมู่ ตามคำศัพท์ที่คุณเรียนรู้
ตัวอย่างเช่น ผมชอบเขียนรีวิวหนังสือ ดังนั้น ในแต่ละภาษาที่ผมเรียน ผมจะกำหนดให้ตัวเองเรียนรู้คำศัพท์ที่จำเป็นต้องใช้เมื่อต้องการพูดถึงเนื้อเรื่องนั้นๆ ในภาษาสเปนจะมีคำศัพท์และวลีอย่างเช่น la trama (พล็อตเรื่อง) está ambientada en Barcelona (ตั้งอยู่ในนครบาร์เซโลนา) หรือ trata de un mago (มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักมายากล) เป็นต้น
ผมจดบันทึกคำศัพท์และวลีเหล่านี้ลงในสมุดบันทึก ภายใต้หมวดหมู่ “บทวิจารณ์หนังสือ” ครั้งต่อไปที่ผมต้องการเขียนบทวิจารณ์หนังสือ ผมก็จะสามารถนำคำต่างๆมาใช้ได้อย่างถูกต้องและง่ายดายเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส ท้ายที่สุดแล้ว คำศัพท์และวลีเหล่านั้นจะถูกบันทึกลงในความจำของคุณเช่นกัน
.
.
.
6. ศึกษาเรื่องไวยากรณ์
เมื่อแรกเริ่มเรียนภาษาต่างประเทศ ผมพยายามที่จะไม่หมกมุ่นกับไวยากรณ์มากเกินไป ถ้าผมต้องคอยกังวลว่า จะต้องใช้คำกริยาในรูปแบบใดเวลาที่จะถามเพื่อนของผมว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ผมก็คงจะลงเอยด้วยการพูดจนลิ้นพันกันไปหมด
การพูดผิดหลักไวยากรณ์เล็กๆน้อยๆ มักจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ อันที่จริงแล้ว ภาษาพูดมักจะต่างจากภาษาเขียนอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม หากคุณเขียนภาษาสเปน โดยที่ไม่ใช้ประเภทของคำให้ถูกต้อง นั่นจะเป็นการประกาศให้คนอื่นรู้เลยว่า คุณไม่ใช่เจ้าของภาษา บางคนอาจจะคิดว่าคุณไร้การศึกษาด้วยซ้ำ (เว้นแต่กรณีที่คุณพิมพ์ข้อความแชท)
เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจด้านไวยากรณ์ ผมแนะนำให้คุณศึกษาผ่านหนังสือแบบฝึกหัดไวยากรณ์ (ผมชอบที่จะเริ่มศึกษาด้วยหนังสือชุด Practice Makes Perfect ของสำนักพิมพ์ McGraw Hill ซึ่งมีหนังสือแบบฝึกหัดสำหรับภาษาต่างๆมากมาย)
.
.
.
7. เรียนรู้วิธีการเขียนอย่างมีสไตล์
การเรียนรู้วิธีการเขียนที่ดี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนรู้หลักไวยากรณ์ การสะกดคำ และการพิสูจน์อักษรเท่านั้น
คุณยังต้องเรียนรู้วิธีการร่างหัวข้อ ขัดเกลาการเขียนคำนำและบทสรุป การเขียนแบบเรียบง่ายแต่จับใจ และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ผมเรียกมันว่า การเขียนอย่างมีสไตล์
ผมขอแนะนำให้คุณอ่านหนังสือเทคนิคการเขียนและบทความเกี่ยวกับการเขียน เพื่อเรียนรู้วิธีการเขียนอย่างมีสไตล์
คุณควรนำคำแนะนำนี้ไปปฏิบัติ ไม่ว่าจะเขียนภาษาต่างประเทศหรือภาษาแม่ของคุณ ผมพบว่า ตอนที่ผมเริ่มมีทักษะด้านการเขียนภาษาอังกฤษอย่างมีสไตล์ การเขียนของผมในภาษาสเปน อิตาลี และฝรั่งเศสก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน
หนังสือ The Elements of Style ของ Strunk and White เป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้เริ่มต้น (โดยเฉพาะการเขียนภาษาอังกฤษ) เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รวบรวม รายชื่อ หนังสือด้านพัฒนาทักษะการเขียนที่ผมโปรดปรานเอาไว้ด้วย
.
.
.
8. ถามเจ้าของภาษา เพื่อพัฒนางานเขียนของคุณ
ไม่ว่าผมจะเขียนภาษาของผมเองหรือเขียนภาษาต่างประเทศ ผมมักจะขอให้เพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวเป็นคนพิสูจน์อักษรให้ผม แม้แต่นักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็ยังมีบรรณาธิการที่ช่วยตรวจสอบหนังสือของพวกเขา เพื่อหาข้อผิดพลาด
แน่นอนว่า การมีคนช่วยทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการ จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นในกรณีที่คุณเขียนภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าคุณจะพูดได้คล่องแค่ไหน ก็มักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่มีเพียงเจ้าของภาษาเท่านั้น ที่สามารถฟังและออกความเห็นได้
พวกเขาจะบอกคุณว่า “ประโยคนี้ไม่ถูกต้อง ต้องเขียนด้วยวิธีนี้แทน” พวกเขาอาจไม่สามารถให้คำอธิบายโดยละเอียดแก่คุณได้ แต่เราก็สามารถวางใจได้ว่า พวกเขารู้จริงในสิ่งที่พูด
.
.
หากคุณกำลังมองหาเจ้าของภาษาเพื่อช่วยปรับปรุงการเขียนของคุณ ผมขอแนะนำเว็บไซต์ Italki
หลังจากเข้าเว็บไซต์ดังกล่าวแล้ว คุณสามารถเขียนข้อความสั้นๆ ในภาษาที่คุณกำลังเรียนรู้ หน้าต่างข้อความจะปรากฏขึ้นมาให้เจ้าของภาษานั้นๆได้อ่าน ซึ่งพวกเขาจะให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์และชี้ให้คุณเห็นข้อผิดพลาด ในทางกลับกัน คุณก็สามารถช่วยแก้ไขข้อความจากผู้ใช้งานคนอื่นๆที่เขียนข้อความในภาษาของคุณ
.
.
หากคุณต้องการคำติชมเชิงลึกเพิ่มเติม เกี่ยวกับทักษะการเขียนของคุณ ผมขอแนะนำให้ตั้งค่าการแลกเปลี่ยนภาษากับเจ้าของภาษา ผมทำเช่นนั้นกับเพื่อนที่พูดภาษาสเปน ซึ่งต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง ผมแก้ไขสิ่งที่เธอเขียนเป็นภาษาอังกฤษและเธอแก้ไขสิ่งที่ผมเขียนเป็นภาษาสเปน
หากเป็นการยากที่จะหาเพื่อนที่มีเวลาช่วยเหลือคุณได้อย่างสม่ำเสมอ ทางออกที่ดีที่สุดคือ การจ้างติวเตอร์ ซึ่งในเว็บไซต์ Italki ก็มีบรรดาครูสอนภาษาที่เสนอราคาอย่างเหมาะสมให้แก่คุณด้วย (มีทั้งครูมืออาชีพและติวเตอร์ทั่วไป)
.
.
.
ข้อแนะนำ: ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน
แน่นอนว่า ไม่มีเคล็ดลับข้อใดในบทความนี้จะช่วยคุณได้ หากคุณไม่ให้เวลากับการฝึกฝนการเขียน ดังที่ C. S. Lewis เคยกล่าวไว้ว่า:
“สิ่งที่คุณต้องทำ คือ ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ไม่สำคัญว่าเราจะเขียนอะไร … ตราบใดที่เรายังคงเขียนอย่างต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ ผมรู้สึกว่า ทุกครั้งที่ผมเขียนบทร้อยแก้วหรือร้อยกรองด้วยความพยายามอย่างจริงจัง แม้ว่ามันจะถูกโยนเข้ากองไฟในนาทีต่อมา ผมก็ยังคงพัฒนาต่อไป”
.
.
.
คุณสามารถฝึกฝนได้หลายวิธี ผมมีไอเดียให้สองข้อ:
1. เริ่มเขียนบล็อก
นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นให้ตัวเองฝึกฝนในแต่ละสัปดาห์ ผมสร้างบล็อก WordPress เอาไว้เป็นเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับแบ่งปันงานเขียนภาษาสเปนของผม การโพสต์งานเขียนลงใน Medium.com ก็เป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกฝนเช่นกัน
โดยปกติ ผมจะเขียนบทความ (มักจะเป็นบทวิจารณ์หนังสือหรือภาพยนตร์) จากนั้น ก็ขอให้เพื่อนช่วยปรับปรุงข้อความ ทำการแก้ไขตามคำแนะนำที่ได้รับ และโพสต์บทความดังกล่าวลงในบล็อก
.
.
.
2. ฝึกแปลบางย่อหน้า
ลองหาหนังสือหรือบทความในภาษาของคุณ เกี่ยวกับหัวข้อที่คุณต้องการจะเขียน จากนั้น ลองแปลสักสองสามย่อหน้าเป็นภาษาที่คุณกำลังเรียนรู้
คุณสามารถใช้ Linguee หรือ Google Translate หรือ Google ธรรมดา (ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเสิร์ชข้อความว่า จะพูด “……” ในภาษา “…….” ว่าอย่างไร) เพื่อค้นหาวลีที่คุณไม่แน่ใจว่าจะต้องแปลอย่างไร มันสามารถช่วยให้คุณได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในวันที่คุณนึกไม่ออกว่า จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไรดี