เพื่อนๆชาว Engnow ที่เข้ามาอ่านบทความนี้อาจจะรู้สึกสงสัยว่า เอ๊ะ! เจ้า filler words นี่มันคืออะไรกันนะ จะใช่สิ่งที่เราชอบใช้เวลาถ่ายสตอรี่ไอจีตอนหน้าสดรึเปล่า? ไม่ใช่ นั่นฟิลเตอร์! หรือจะเป็นห้างดังย่านรังสิต ไม่ใช่ นั่นฟิวเจอร์! ฮ่าๆ ไม่ว่าจะฟิวอะไร แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักเจ้า filler words นี่กัน มันคืออะไร และมีคำไหนฮอตฮิตบ้าง ไปอ่านกันเลย…
Filler words (‘ฟีลเลอะ เวิร์ด) คือ คำ, ประโยค หรือเสียง ที่เราใช้เติมเข้าไปในบทสนทนา ซึ่งในบางครั้งคำเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีความหมาย แต่ใช้เพื่อคั่นไม่ให้บทสนทนานั้นมีช่องว่างในระหว่างที่เราคิด หรือรู้สึกลังเลใจว่าจะพูดอะไรต่อไปดี ที่เราเห็นกันบ่อยๆก็พวกคำว่า อืมมมมม เอ่อออออ นั่นเอง เรามาดูกันดีกว่าว่า คำที่ฮอตฮิตที่ฝรั่งใช้พูดกันนั้นมีอะไรบ้าง
1. Oh
“ โอ้ ” มักนำหน้าประโยค ใช้แสดงถึงความประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน เช่น
- A : Did you hear the teacher? She said we had a quiz today!
- B : Oh … I didn’t know that.
โอ้ ชั้นไม่รู้ ประหลาดใจแบบซวยแล้ว ฮ่าๆ
2. Ahh…
หรือ “อ่าาา” ในภาษาไทย มักใช้พูดเวลาที่เราได้ยินอะไรที่เราเข้าใจ เห็นด้วย ยินดี หรือเวลาที่เราสังเกตเห็น และกำลังลังคิดอะไรบางอย่าง เช่น
- Ahh, I see.
3. Well
ใช้พูดเวลาที่เรากำลังคิดคำพูดที่จะพูดต่อไปอยู่ เช่น
- Well…I think that idea is nice.
4. Umm…
“ เอิ่มมม ” คำนี้คนไทยก็ใช้บ่อย สามารถแสดงได้ถึงความลังเลใจ เวลาเราพูดออกมา สื่อว่าเราอาจกำลังคิดว่า อืมมมม คำตอบมันคืออะไรน้าาาา อยู่ก็ได้ เช่น
- A : Which dress suits me better?
- B : Umm … I like the yellow one!
คิดๆ อืม ชั้นชอบเดรสสีเหลืองนะ
5. Err…
“ เอ่ออออ ” เมื่อพูดจะแสดงถึงว่าเรากำลังคิดคำพูดที่จะพูดออกมานั่นอยู่ แต่ถ้าใช้ในการพูดเชิงวิชาการจะทำให้เราดูไม่มั่นใจ เช่น
- Errr, I don’t really know.
6. Hmm
“ อืมมมมม ” มักใช้แสดงถึงว่าเรากำลังคิด หรือตัดสินใจบางอย่างอยู่ เช่น
- Hmm, I like the red one but I think I’ll buy the black.
7. Like
คำนี้แอดพูดบ่อยมาก ซึ่งเวลาพูดจะแสดงถึงว่าเราไม่มั่นใจสิ่งที่ได้พูดไป หรือเวลาที่เราอยากใช้เวลานึกคำนิดนึงก็ได้ เช่น
- My grade is like, a trash. It keeps getting lower and lower every semester like I didn’t pay much attention which wasn’t true.
เกรดของชั้นคือแบบ…เหมือนขยะเลย มันน้อยลงทุกเทอมเหมือนแบบ…ชั้นไม่ได้ตั้งใจมากอย่างงั้นแหละ แต่มันไม่ใช่เลยนะ
8. You see
“ เห็นมะ ” ใช้ในเวลาที่เราพูดอะไร ที่มั่นใจว่า ผู้ฟังอาจเข้าใจผิด หรือไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน เช่น
- You see! Finally, she came.
9. You know
“ คุณก็รู้ ” ใช้เวลาที่คุณพูดแล้วผู้ฟังก็เข้าใจในสิ่งที่เราได้พูดไป เช่น
- It’s hard to do, you know?
10. Yeah
แสดงถึงการเห็นด้วยในสิ่งที่ได้ฟัง เช่น
- Yeah, I think so.
11. Actually
“ จริงๆแล้ว ” ใช้เวลาที่เราได้ยินอะไรมาแล้วคิดว่า สิ่งนั้นมันไม่ได้ถูกทั้งหมด เช่น
- She said Iiked it, but, actually, I didn’t.
12. Basically
โดยทั่วไป มักใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นประจำ จนเป็นปกติไปแล้ว เช่น
- Basically, I run at six o’clock from my home to school.
13. Seriously
ใช้ได้สองความหมาย หากพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจะหมายถึง “ จริงจัง ” แต่ถ้าขึ้นเสียงสูงคล้ายการถาม จะหมายถึง จริงเหรอ? เช่น
- Seriously, I don’t like it!
เห้ยจริงจัง! ชั้นไม่ชอบจริงๆ
14. I mean
“ ชั้นหมายถึง… ” มักใช้เวลาที่เราพูด แล้วผู้ฟังดูยังไม่ค่อยเข้าใจ หรือเราพยายามจะอธิบายเพิ่มเติมว่าสิ่งที่พูดไปหมายถึงอะไร เช่น
- I mean, yes, she’s nice.
15. Alright
หากเราใช้คำนี้ หมายความว่าเราเห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน หรืออาจรู้สึกอยากเปลี่ยนบทสนทนาไปเรื่องถัดไปแล้ว ในบางครั้งก็เป็นการถามว่าคุณโอเคใช่มั้ยก็ได้ เช่น
- Alright, I don’t wanna hear it again.
16. You know what I mean?
เหมือนกับการถามกลับว่า “ คุณเข้าใจสิ่งที่ชั้นพูดเมื่อกี้ใช่มั้ย ” หรืออาจเป็นการให้ผู้ฟังเดาความหมายจากสิ่งที่ได้ฟังก็ได้เช่นกัน เช่น
- I don’t want to go, you know what I mean? I don’t wanna see her.
17. Believe me
“ เชื่อน่าาาา ” ใช้เวลาที่เราอยากจะโน้มน้าวใจใครให้เขาเชื่อนั่นเอง เช่น
- It’s great, believe me!
18. I guess
“ ชั้นว่า ” คาดว่าสิ่งที่พูดต้องเป็นอย่างนั้น เช่น
- A : How old are you?
- B : He’s 10, I guess.
19. Right
นอกจาก ” ถูกต้อง ” คำนี้ยังสามารถใช้เพื่อแสดงถึงความเห็นด้วยได้เช่นกัน เช่น
- Right! That’s correct.
20. Yeah
แสดงถึงการเห็นด้วยและเข้าใจในเวลาเดียวกัน เช่น
- Yeah, I see your point.
21. Or something
พูดเวลาเราต้องการกล่าวถึงสิ่งใด แล้วเราก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจกับสิ่งนั้น เช่น
- I heard it’s about tigers or something.
ชั้นได้ยินมามันเกี่ยวกับพวกเสือหรืออะไรนี่แหล่ะ (ไม่มั่นใจละ)
22. I think that
“ ชั้นคิดว่า… ” ก็สามารถช่วยเติมเต็มบทสนทนาได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยพูดประโยคนี้ก็ยังทำให้เรามีเวลาคิดอะไรหล่ะน่า เช่น
- I think that … we shouldn’t do it again.
23. I mean
ค่อนข้างตรงตัวเลย “ ชั้นหมายความว่า ” ก็เป็นการขยายความสิ่งที่เราพูดไปเมื่อกี้นี้นั่นเอง เช่น
- What? I mean…you never know.
24. Kind of
ใช้เวลาที่เราต้องการจะอธิบายเกี่ยวกับอะไร แต่ก็ยังไม่สามารถระบุข้อมูลที่แน่นอน ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แต่ให้อารมณ์ว่า มันค่อนข้างถูกต้อง เช่น
- It’s kind of weird. She didn’t talk with me for the whole week.
มันค่อนข้างแปลกเลยอ่ะ นางไม่พูดกับชั้นมาอาทิตย์นึงละ
25. Literally
สื่อว่าสิ่งที่กล่าวถึงนั้นเป็น ” ความจริง ” และยังใช้เน้นถึงความรู้สึกอันกล้าแกร่งมากๆ ที่ส่งออกไปผ่านคำพูดนั้นด้วย ในเชิง “ จริงๆนะ ” เช่น
- I literally had no idea about the exam.
สำหรับการใช้ filler words ในภาษาพูด บางครั้งก็เหมือนกับเป็นการยืดบทสนทนาให้ไม่จบง่ายๆ เหมือนเรากำลังมีอะไรจะพูดต่อ และซื้อเวลาให้เราได้คิดว่ากำลังจะพูดอะไรออกไป แต่หากเป็นในการพูดในระดับวิชาการแล้วนั้น การใช้คำพูดเหล่านี้มักแสดงออกถึงความไม่มั่นใจ ขาดการฝึกซ้อมพูด หากจะเลือกใช้ก็ควรเลือกให้ถูกต้องกับสถานการณ์ และควรเลี่ยงการใช้เมื่อเวลาไม่จำเป็น! ใครไปลองใช้ได้อย่างไรบ้าง อย่าลืมมา comment กันไว้นะ วันนี้แอดไปแล้ว สวัสดีค่า