เคลียร์ให้ชัด การใช้ A vs The

1898


อย่างที่เรารู้กันว่า A กับ the คือ “article”  ซึ่งมักจะใช้กับคำนามเพื่อระบุประเภทของที่มาของคำนามโดยเราสามารถแบ่งมันได้หลักๆ 2 แบบ คือแบบ

Definite  และ Indefinite.

.

ถ้าเอาตามหลักการที่เราเข้าใจแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน “a” จะไม่สามารถตามด้วยคำนามพหูพจน์ได้ และเอาไว้กล่าวถึงรวมๆ แต่ถ้าเป็น “The” จะเอาไว้นำหน้าคำนามที่เป็นคำนามเฉพาะ จะเติม s ก็ได้ แต่ทีนี้มันมีอะไรบางอย่างลึกไปมากกว่านั้น มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง 


Articles

แบบ Definite             แบบ Indefinite

the                      a, an




อย่างแรกเลยก่อนที่เราจะไปไกล “the” เราจะใช้พูดถึงคำนามที่เฉพาะเจาะจง ด้วยตัวของมันเองจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ใช้ได้ทั้งกับคำนามนับได้และนามนับไม่ได้ หรือจะเป็นคำนามเอกพจน์หรือพหูพจน์

เราสามารถใช้ “the” นำหน้าคำนามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่จะต้องเป็นคำนามที่เฉพาะเจาะจง ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรล่ะที่มันเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น มานะมานี กำลังพูดถึงหมาตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นทั้งสองสามารถเรียกหมาตัวนั้นได้ว่า “the dog” เพราะหมาที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นมีหนึ่งเดียวมีตัวเดียว คือหมาที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้หมายถึงหมาทั่วๆไป

2. เอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีการพูดถึงเป็นครั้งที่ 2 หรือ 3 ในกรณีที่มีการกล่าวถึงคำนั้นก่อนหน้านี้แล้ว

ตัวอย่างเช่น

  • My mom has cat. The cat is so cute.
    แม่ของฉันมีแมว และแมวตัวนั้นมันน่ารักมากๆ

3. เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีหนึ่งเดียวในโลก

ตัวอย่างเช่น

  • The moon, the sun, the earth

4. ใช้นำหน้าคำนามที่มีการใช้คำ adj. ขั้นสูงสุด

อย่างเช่น

  • the most handsome boy, the fastest car เป็นต้น

5. ใช้นำหน้าพวกตัวเลข Ordinal หรือตัวเลขที่เป็นลำดับ

อย่างเช่น 

  • the first, the second, the third


ต่อมาคือแบบ Indefinite นั่นก็คือพวก a,an ซึ่งต้องบอกก่อนว่า Article เหล่านี้จะเอาไว้นำหน้าคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจงเลย นั่นหมายถึงการที่เราพูดกว้างๆไม่ได้เจาะจงสิ่งหนึ่งสิ่งใด 

“A”

เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มันมีเสียงต้นเป็นเสียงพยัญชนะ อย่างเช่น

  • a toy, a bathroom, a bed, a cat, a toilet เป็นต้น

“An”

เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีเสียงต้นเป็นเสียงสระ ทีนี้ก็มาดูว่าสระมันมีอะไรบ้างล่ะในภาษาอังกฤษ มันมี A,E,I,O,U ใช่ไหมคะ

ก็นั่นแหละคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงเหล่านี้จะนับเป็นคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ แต่ก็ต้องระวังให้ดีนะเพราะบางคำมันมีการออกเสียง silent

อย่างเช่นคำว่า hour ที่แปลว่าชั่วโมง

เห็นมันขึ้นด้วยตัว  -h ที่เป็นพยัญชนะ แต่คำนี้จะออกเสียง silent -h ดังนั้นตัว -h นี้จึงไม่ออกเสียง จึงทำให้มีการออกเสียงของตัวถัดไปนั่นก็คือ “o” ดังนั้นมันจึงต้องเป็น “an hour” ไม่ใช่ “a hour”


ทีนี้มาเข้าเรื่องของการใช้ a,an กันเลยดีกว่า

1. มันสามารถนำหน้าคำนามที่นับได้เท่านั้นและจะต้องเป็นเอกพจน์

(ห้ามเป็นคำนามที่เติม -s เด็ดขาดดดด ถ้าไปเจอในข้อสอบเติม article แล้วมีคำนามที่เติม -s ต้องรู้ไว้เลยนะว่าจะต้องตัดช้อยส์ article -a) ตัวอย่างเช่น Elle will bring a small gift to Sophie’s party. แอลจะนำของขวัญเล็กๆน้อยๆมาที่งานเลี้ยงของโซฟี (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นของขวัญชิ้นไหน แค่บอกว้างๆว่าจะเอาของขวัญมานะ)

2 เอาไว้นำหน้าคำนามที่เรากล่าวถึงมันเป็นครั้งแรก

ตัวอย่างเช่น

  • I like reading a book.
    ฉันชอบอ่านหนังสือนะ (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นหนังสือเล่มไหน แค่บอกว่าชอบอ่านนะ)

3. เอาไว้นำหน้าหน่วยการวัดหรือหน่วยบอกเวลา

ตัวอย่างเช่น

  • wait a minute
    รอแป๊บนึงนะ
Share
.