อย่างที่เรารู้กันว่า A กับ the คือ “article” ซึ่งมักจะใช้กับคำนามเพื่อระบุประเภทของที่มาของคำนามโดยเราสามารถแบ่งมันได้หลักๆ 2 แบบ คือแบบ
Definite และ Indefinite.
ถ้าเอาตามหลักการที่เราเข้าใจแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน “a” จะไม่สามารถตามด้วยคำนามพหูพจน์ได้ และเอาไว้กล่าวถึงรวมๆ แต่ถ้าเป็น “The” จะเอาไว้นำหน้าคำนามที่เป็นคำนามเฉพาะ จะเติม s ก็ได้ แต่ทีนี้มันมีอะไรบางอย่างลึกไปมากกว่านั้น มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
Articles
แบบ Definite แบบ Indefinite
the a, an
อย่างแรกเลยก่อนที่เราจะไปไกล “the” เราจะใช้พูดถึงคำนามที่เฉพาะเจาะจง ด้วยตัวของมันเองจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ใช้ได้ทั้งกับคำนามนับได้และนามนับไม่ได้ หรือจะเป็นคำนามเอกพจน์หรือพหูพจน์
เราสามารถใช้ “the” นำหน้าคำนามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่จะต้องเป็นคำนามที่เฉพาะเจาะจง ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรล่ะที่มันเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น มานะมานี กำลังพูดถึงหมาตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นทั้งสองสามารถเรียกหมาตัวนั้นได้ว่า “the dog” เพราะหมาที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นมีหนึ่งเดียวมีตัวเดียว คือหมาที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้หมายถึงหมาทั่วๆไป
2. เอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีการพูดถึงเป็นครั้งที่ 2 หรือ 3 ในกรณีที่มีการกล่าวถึงคำนั้นก่อนหน้านี้แล้ว
ตัวอย่างเช่น
- My mom has cat. The cat is so cute.
แม่ของฉันมีแมว และแมวตัวนั้นมันน่ารักมากๆ
3. เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีหนึ่งเดียวในโลก
ตัวอย่างเช่น
- The moon, the sun, the earth
4. ใช้นำหน้าคำนามที่มีการใช้คำ adj. ขั้นสูงสุด
อย่างเช่น
- the most handsome boy, the fastest car เป็นต้น
5. ใช้นำหน้าพวกตัวเลข Ordinal หรือตัวเลขที่เป็นลำดับ
อย่างเช่น
- the first, the second, the third
ต่อมาคือแบบ Indefinite นั่นก็คือพวก “a,an” ซึ่งต้องบอกก่อนว่า Article เหล่านี้จะเอาไว้นำหน้าคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจงเลย นั่นหมายถึงการที่เราพูดกว้างๆไม่ได้เจาะจงสิ่งหนึ่งสิ่งใด
“A”
เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มันมีเสียงต้นเป็นเสียงพยัญชนะ อย่างเช่น
- a toy, a bathroom, a bed, a cat, a toilet เป็นต้น
“An”
เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีเสียงต้นเป็นเสียงสระ ทีนี้ก็มาดูว่าสระมันมีอะไรบ้างล่ะในภาษาอังกฤษ มันมี A,E,I,O,U ใช่ไหมคะ
ก็นั่นแหละคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงเหล่านี้จะนับเป็นคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ แต่ก็ต้องระวังให้ดีนะเพราะบางคำมันมีการออกเสียง silent
อย่างเช่นคำว่า hour ที่แปลว่าชั่วโมง
เห็นมันขึ้นด้วยตัว -h ที่เป็นพยัญชนะ แต่คำนี้จะออกเสียง silent -h ดังนั้นตัว -h นี้จึงไม่ออกเสียง จึงทำให้มีการออกเสียงของตัวถัดไปนั่นก็คือ “o” ดังนั้นมันจึงต้องเป็น “an hour” ไม่ใช่ “a hour”
ทีนี้มาเข้าเรื่องของการใช้ a,an กันเลยดีกว่า
1. มันสามารถนำหน้าคำนามที่นับได้เท่านั้นและจะต้องเป็นเอกพจน์
(ห้ามเป็นคำนามที่เติม -s เด็ดขาดดดด ถ้าไปเจอในข้อสอบเติม article แล้วมีคำนามที่เติม -s ต้องรู้ไว้เลยนะว่าจะต้องตัดช้อยส์ article -a) ตัวอย่างเช่น Elle will bring a small gift to Sophie’s party. แอลจะนำของขวัญเล็กๆน้อยๆมาที่งานเลี้ยงของโซฟี (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นของขวัญชิ้นไหน แค่บอกว้างๆว่าจะเอาของขวัญมานะ)
2 เอาไว้นำหน้าคำนามที่เรากล่าวถึงมันเป็นครั้งแรก
ตัวอย่างเช่น
- I like reading a book.
ฉันชอบอ่านหนังสือนะ (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นหนังสือเล่มไหน แค่บอกว่าชอบอ่านนะ)
3. เอาไว้นำหน้าหน่วยการวัดหรือหน่วยบอกเวลา
ตัวอย่างเช่น
- wait a minute
รอแป๊บนึงนะ