1. Bite the bullet
ความหมาย : บังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ยากหรือไม่ยากทำ
ที่มาของคำ : ในสมัยแต่ก่อน เวลาที่แพทย์หรือหมอขาดยาสลบในระหว่างการรักษา หมอก็จะบอกกับผู้ป่วย to bite down on a bullet เพื่อให้ผู้ป่วยหันเหความสนใจจากความเจ็บปวด การบันทึกการใช้วลีครั้งแรกคือในปี พ.ศ. 2434 ใน The Light that Failed
2. Break the ice
เอาง่ายๆเลยคำนี้สามารถแปลเป็นไทยได้ว่า “ละลายพฤติกรรม” มันคือการทำกิจกรรมเพื่อให้คนที่มาร่วมกิจกรรมนั้นได้แสดงความเป็นตัวเองทำความรู้จักและผ่อนคลายและเปิดเผยตัวเองออกมาให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มได้รู้จักกันมากขึ้นนั่นเอง
ที่มาของคำ : ย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน การคมนาคมทางถนนยังไม่ได้รับการพัฒนาที่ดีมากนัก ดังนั้นการเดินทางทางเรือก็จะเป็นหนทางเดียวในการขนส่งและการค้า ซึ่งบางทีหรือบางครั้ง เรือก็จะไม่สามารถเดินทางได้เพราะมันติดน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากน้ำแข็งมันก่อตัวเป็นกลุ่มก้อน ทำให้เรือไม่สามารถเดินทางได้ ดังนั้นประเทศปลายทางจึงจำเป็นต้องส่งเรือเล็กเข้ามาพังน้ำแข็ง โดยการเจาะหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้น้ำแข็งมันพังทลายลงไป การกระทำแบบนี้มันแสดงให้เห็นถึงความผูกพันและความเข้าใจระหว่างสองดินแดน มันก็เลยเป็นที่มาของ break the ice นั่นเอง
3. Butter someone up
ความหมาย : จริงๆคำนี้มันแปลได้ว่า ประจบสอพลอ, ออดอ้อน, สรรเสริญเยินยอใครบางคน้พื่อหวังผลประโยชน์
ที่มาของคำ : คำนี้ที่มาของมันนั้นมาจากศาสนาในอินเดียโบราณ เพราะว่าคนที่ศรัทธาเทพเจ้าเนี่ย จะต้องปั้นเนยให้เป็นก้อนและนำไปปาใส่รูปปั้นเพื่อชำระล้างบาป ขอพร และการให้อภัย
4. Mad as a hatter
ความหมาย : บ้ามากๆ, เพี้ยน, พิลึก
ที่มาของคำ : แน่นอนว่าหลายๆคนคิดว่าคำนี้มาจากเรื่อง Alice in Wonderland แต่จริงๆแล้วทางนี้มีมาก่อนเรื่องนี้อีก เรื่องมีอยู่ว่า ในยุคศตวรรษที่ 17 และ 18 ก่อนหนังสือของ Lewis Caroll จะถูกตีพิมพ์ในศตวรรษที่ 17 ในฝรั่งเศส เกิดเหตุการณ์มีสารพิษปรอทระบาดจากโรงงานทำหมวก ซึ่งสารปรอทนี้เขาเอาไว้ใช้กับหนังสัตว์ที่เอามาทำหมวก มันเกิดการสารพิษรั่วไหล และทำให้ผู้คนในยุคนั้นต้องตื่นตระหนก เลยเป็นที่มาของคำว่า Mad as a hatter
5. Cat got your tongue?
ความหมาย : ทำไมไม่ตอบล่ะ, ทำไมไม่พูดล่ะ
ที่มาของคำ : แหล่งที่มาของคำนี้อาจจะฟังดูโหดร้ายนิดนึง มีแหล่งที่มาทั้งหมด 2 ที่ ที่แรกมาจากทหารอังกฤษ ที่ในสมัยแต่ก่อนเขาจะใช้แซ่ที่เรียกว่า “Cat-o’-nine-tails” เอาไว้ลงโทษกับคนที่ทำผิด ซึ่งเป็นการลงโทษที่เจ็บปวดและทรมานเป็นอย่างมาก ทำให้คนที่ถูกเฆี่ยนตีจะต้องเงียบอยู่เป็นเวลานาน ไม่สามารถออกปากออกเสียงได้ อีกแหล่งที่มาอีกอันนึงมาจากโบราณอียิปต์ ซึ่งในสมัยนั้น ใครก็ตามที่เป็นคนโกหกและดูหมิ่นพระเจ้า จะต้องถูกลงโทษด้วยการตัดลิ้น และเขาจะนำลิ้นไปโยนให้แมวกิน ก็เลยเป็นที่มาของคำนี้นั่นเอง
6. Barking up the wrong tree
ความหมาย : ถ้าแปลตรงตัวเลยสำนวนนี้จะแปลได้ว่า “ถามผิดคน” อารมณ์ประมาณว่า “เอ็งถามผิดคนละ” หรือจะมีความหมายนึงก็ได้ นั่นก็คือ “คิดผิด”
ที่มาของคำ : มันมาจากเวลาที่สุนัขล่าเหยื่อเข้าไปในป่า และมักจะคาดคะเนว่าเหยื่อจะหนีขึ้นไปบนต้นไม้ เพราะในนิทานส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นสุนัขเลยเห่าไปที่ต้นไม้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วสุนัขไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหยื่ออยู่บนต้นไม้หรือไม่ มันก็คือการที่สุนัขเห่าไปโดยที่ไม่รู้ผิดรู้ถูก หรืออาจจะไม่ได้อยู่บนต้นไม้นั้นก็ได้ สุนัขตัวนั้นอาจจะเห่าผิดต้น
ตัวอย่างประโยคเช่น
- If you think Alex can help you with that, you’re barking up the wrong tree
ถ้าเธอคิดว่าอเล็กซ์จะช่วยเธอได้ละก็ เธอคิดผิดแล้วล่ะ
7. Turn a blind eye
ความหมาย : ความหมายของประโยคนี้เราเคยได้ยินกันบ่อยมากๆในสำนวนไทย ซึ่งความหมายจริงๆของมันก็คือ การที่เราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสถานการณ์ ความจริง เหลืออะไรบางอย่าง ที่ตรงกับสำนวนไทยคำที่ว่า “เอาหูไปนาเอาตาไปไร่”
ที่มาของคำ : พลเรือเอก Horatio Nelson วีรบุรุษของกองทัพเรืออังกฤษที่มีตาบอดข้างนึง ครั้งหนึ่งเมื่อกองกำลังอังกฤษส่งสัญญาณให้เขาหยุดโจมตีกองเรือเดนมาร์ก เขาก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นและใช้ข้างที่ตาบอดส่อง แล้วพูดว่า “ฉันไม่เห็นสัญญาณ” (ก็แน่ล่ะ ใครมันจะไปมองเห็น) และเขาก็โจมตีฝ่ายตรงข้ามและได้รับชัยชนะ
8. Bury the hatchet
ความหมาย : สำนวนนี้มีความหมายว่า “เพื่อหยุดความขัดแย้งและสร้างสันติภาพ” หรือ การหยุดต่อสู้, หยุดเถียง
ที่มาของคำ : อันนี้ย้อนหลังไปถึงช่วงแรกๆในอเมริกาเหนือ เมื่อกลุ่มคนที่เคร่งที่ศีลธรรมเกิดความขัดแย้งกับชนพื้นเมืองอเมริกัน พอถึงเวลาต้องเจรจาสันติภาพ ชนพื้นเมืองอเมริกันจะขุดดินและฝังพวกอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นขวาน มีด กระบอง และอาวุธทั้งหมดทั้งหมด ซึ่งอาวุธจะถูกฝังอย่างมิดชิดและไม่มีใครสามารถเข้าถึง ก็เลยเป็นที่มาของคำนี้
9. Caught red-handed
ความหมาย : คำนี้มีความหมายตรงตัวกับสำนวนในภาษาไทยเลยนั่นก็คือ “จับได้คาหนังคาเขา”
ที่มาของคำ : คำนี้มีต้นกำเนิดมาจากยุคเก่าอังกฤษ ซึ่งในสมัยนั้นเขามีกฎหมายที่ว่าจะมีการลงโทษกับบุคคลที่ได้ฆ่าสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์อะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นของตนเอง ซึ่งกฎหมายนั้นจะมีโทษได้ก็ต่อเมื่อคนที่ฆ่าสัตว์นั้นยังมีเลือดเปื้อนมืออยู่ เพราะฉะนั้นแล้วต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา กฎหมายถึงจะมีผลกับกรณีหรือคนนั้นๆ
10. Don’t throw the baby out with the bathwater
ความหมาย : ถ้าแปลตรงตัวสำนวนนี้จะแปลได้ว่า “อย่าเทเด็กทิ้งพร้อมกับน้ำสิ” ซึ่งความหมายที่แท้จริงของมันก็คือ “อย่าทิ้งของมีค่าไปพร้อมกับของไม่จำเป็น” นั่นเอง
ที่มาของคำ : คุณจะต้องไม่เชื่อที่มาของคำนี้แน่นอน มันเหลือเชื่อจริงๆ ในช่วงทศวรรษ 1500 คนในสมัยแต่ก่อนฝั่งยุโรป จะอาบน้ำแค่ปีละครั้งเท่านั้น (ก็มันหนาวนี่นา) ยังไม่เท่านั้นเขาจะอาบน้ำโดยที่ไม่เปลี่ยนน้ำด้วย คือเขาจะเอาน้ำไปใส่ไว้ในถังไม้ และก็จะเวียนกันอาจอยู่แบบนั้น ซึ่งน้ำจะไม่มีการเททิ้งเปลี่ยนใดๆ คนที่อ่านต่อๆกันไปก็จะได้รับแต่น้ำที่สกปรกมากขึ้น ซึ่งลำดับการอาบน้ำก็เรียงลำดับตั้งแต่ ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชาย หลังจากนั้นผู้หญิงถึงจะมีสิทธิ์อาบน้ำหลังจากผู้ชาย และตามด้วยเด็กๆที่อยู่ในบ้านจะได้อาบน้ำเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเด็กๆก็จะได้รับน้ำที่สกปรกที่สุดพอได้ลำดับการอาบน้ำสุดท้ายสุด จึงทำให้บางทีพ่อกับแม่รับไม่ได้ที่ต้องมีลูกสกปรก ก็เลยเป็นคำเปรียบเทียบที่ว่าอยากจะเทลูกทิ้งไปกับน้ำ เพราะทั้งลูกและน้ำสกปรกมากๆ (แล้วทำไมไม่เปลี่ยนน้ำ5555)