นอกจากโลกที่หมุนอย่างต่อเนื่องนั้น ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ยังคงพัฒนา นั่นก็คือภาษา ภาษาคือสิ่งมหัศจรรย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พัฒนาในที่นี้นั้นหมายถึง การพัฒนาตามยุคตามสมัย อย่างเช่นในภาษาไทย
ปัจจุบันนี้ในภาษาไทยเราก็มีหลายๆคำที่เป็นคำใหม่ขึ้นมา อย่างเช่นคำว่าขิง ที่แปลว่าการโอ้อวด ตัวอย่างการใช้ประโยคก็อย่างเช่น แหมขิงจังเลยนะทำข้อสอบได้คะแนนเต็มเนี่ย ก็มีความหมายประมาณว่าแหมอวดจังเลยนะทำข้อสอบได้คะแนนเต็ม ก็เหมือนกันมีแต่ภาษาอังกฤษที่มีการพัฒนาเหมือนกัน มีหลายๆคำที่เป็นคำแปลกๆ ออกไป ที่เจ้าของภาษาบางคนเองก็ยังงง และสับสน และคิดว่ามันแปลก มาดูกันดีกว่าว่ามีคำอะไรบ้างที่เจ้าของภาษาก็ยังต้องขมวดคิ้วกับคำศัพท์เหล่านี้
- XYZZY
คำนี้อ่านว่า ซิสซี่ มันคือตัวแปรของโปรแกรมที่ชื่อว่า metasyntactic หรือเป็นวิดีโอเกม ในคอมพิวเตอร์นั่นเอง แต่ก็นะใครเขาคิดค้นคำที่มีพยัญชนะซับซ้อนแบบนี้ หลายๆคนมองแล้วอาจจะงงว่าเอ๊ะมันอ่านว่าอย่างไร แต่อย่าลืมนะมันอ่านว่า ซิสซี่
.
.
.
2. Masticate
คำนี้อ่านว่า มาสเทอะเคท ที่แปลว่าเคี้ยวหรือบดอาหารนั่นเอง คำนี้เจ้าของภาษาบางคนเองก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แอบงงเหมือนกันว่าทำไมไม่ใช้คำว่า Chew ที่แปลว่าเคี้ยวแบบนี้ไปเลย ส่วนใหญ่เราจะได้ยินคำนี้บ่อย แต่คำว่า Masticate นั้น ฝรั่งบางคนถึงกับหะ! กันเลยทีเดียว
.
.
.
3. mal du pays
คำนี้เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษนั้น แปลได้ว่าโรคคิดถึงบ้านนั่นแหละ ส่วนวิธีการอ่านนั้นก็คือ มัล ดู เพลส์ อ่านตามตรงตัวเลยฝรั่งหลายๆคนก็ถึงงงว่า มันแปลว่าอะไร น้อยคนมากที่จะพูดคำนี้ออกมา
.
.
.
4. Embonpoint
คำนี้อ่านว่า เอม บอน พ้อยท์ หลายๆคนถึงกับหะอีกแล้ว อีหยังวะ คำอิหยังนิ เจ้าของภาษาเองก็ยังเกาหัว วอทดูยูมีน คำนี้มีความหมายว่า พุงพลุ้ย, อ้วนตุ๊ Part of speech คือเป็นคำ adj ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ก็อย่างเช่น “I have lost my embonpoint, and become quite thin” ฉันได้ลดน้ำหนักเอาพุงพลุ้ยออกแล้ว และตอนนี้ก็กลายเป็นคนผอม ภาษาอังกฤษก็มีหลายคำมากที่จะสื่อว่า พุงพลุ้ย, อ้วนตุ๊ อย่างเช่น plum แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า Embonpoint ภาษาอังกฤษได้ยืมมาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งดั้งเดิมมันก็คือภาษาฝรั่งเศสนั่นแหละ
.
.
.
5. Whippersnapper
คำนี้อ่านว่า วิบเปอร์สะแนบเปอร์ ซึ่งค่อนข้างเป็นคำที่เก่าและล้าสมัยพอสมควร ความหมายของคำนี้ก็คือคนที่ขี้เกียจจนตัวเป็นขน ขี้เกียจมากๆ มากๆถึงมากที่สุด งงเหมือนกันทำไมถึงไม่ใช้คำง่ายๆ หรือไม่ก็ใช้เป็นสำนวนของภาษาอังกฤษไปเลยอย่างเช่นคำว่า bone idle ที่แปลว่าขี้เกียจมากๆ ขี้เกียจจนเข้ากระดูก ขี้เกียจจนตัวเป็นขนนั่นเอง เจ้าของบางคนภาษาก็งงเหมือนกัน
.
.
.
6. Walkie-talkie
คำนี้หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันอ่านว่า วอร์กกี้ ทอร์กกี้ ซึ่งแปลว่าวิทยุนั่นเอง คำว่า Walkie ที่มาจากคำว่า Walk มีความหมายว่าเดิน และ talkie ที่มาจากคำว่า talk มีความหมายว่าพูด ซึ่งเอามารวมกันก็คือการที่พูดไปด้วยและเดินไปด้วยนั่นเอง งงเหมือนกันทำไมไม่มีคำเฉพาะไปเลย อยากโทรศัพท์ ก็มีคำว่า telephone หรือ cell phone
.
.
.
7. Conjure
คำนี้ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่แปลกมากๆเพราะมันมีความหมายว่าการปลุกวิญญาณ การร่ายคาถาปลุกสิ่งที่ตายไปแล้วขึ้นกลับมามีชีวิต ในเมื่อยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเรื่องราวนี้มีอยู่จริง ทำไมจึงมีคำนี้ขึ้นมา แอบงงเหมือนกัน เอ๊ะหรือจะมีอยู่จริงกันนะ
.
.
.
8. Whiffle
คำนี้มีความหมายว่า รวนเร (ความคิดหรือการกระทำ) หรือเป็นคนเหลาะแหละนั่นเอง ทำไมนะทำไมทำไมถึงมีคำแบบนี้อยู่ ในเมื่อคนที่มีความคิดถึงการกระทำที่รวนเรนั้น ในภาษาอังกฤษปกติเราจะใช้คำว่า waver ที่แปลว่า แกว่งไปแกว่งมา (การตัดสินใจ, โอกาส, ความคิดเห็น) เหมือนกันกับข้างต้น แต่คำว่า Whiffle หายากมากจริงๆปกติแล้วคนจะไม่ใช้กัน
.
.
.
9. Whopper
คำนี้อ่านว่า วอปเปอร์ แปลว่า การโกหกร้ายแรง โกหกครั้งยิ่งใหญ่ แกงหนักมาก แต่คำนี้นั้นเป็นคำที่ไม่ทางการมักจะเจอในภาษาพูด และน้อยมากๆที่จะเจอคำนี้ ค่อนข้างเป็นคำสแลง แต่ความหมายจริงๆของมันก็มีอีกอย่างนึงนั่นก็คือ บางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่มากๆ เพราะฉะนั้นแล้วการที่จะพูดแบบให้ทางการจะแปลได้ว่าการโกหกร้ายแรง ใครหนอช่างคิดคำนี้ขึ้นมาในความหมายแบบนี้
.
.
.
10. tomfoolery
และคำสุดท้ายนี้ที่อยากจะนำเสนอซึ่งเป็นคำที่แปลกมากจริงๆ คำนี้นั้นจะอ่านตรงตัวเลย ทอมฟูลเลอะรี่ แปลว่าเรื่องไร้สาระหรือสิ่งไร้สาระ เป็นการกระทำที่ไม่คิดมาก่อนเป็นการกระทำที่ไร้สาระหรือโง่เขลา ตัวอย่างการใช้ประโยคเช่น I regret I permitted myself to be a party to such tomfoolery. ฉันเสียใจจริงๆที่ยอมให้ตัวเองเป็นพวกที่ทำอะไรโง่ๆแบบนี้