มันก็คือ …….
ความเกลียดชังการสูญเสีย นั่นเอง
คุณหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่คุณอาจสูญเสียมากกว่าสิ่งที่คุณอาจจะได้รับ นี่คือสาเหตุที่ทำให้การประสบความสำเร็จกลายเป็นเรื่องยาก
.
การบรรลุผลลัพธ์ที่คุณต้องการ บ่อยครั้งขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเต็มใจจะสูญเสีย มากกว่าสิ่งที่คุณพร้อมจะทำ ถ้ามันไม่จำเป็นต้องมีการเสียสละ เราทุกคนก็คงจะประสบความสำเร็จกันหมดแล้ว แต่โชคร้ายที่ชีวิตมันไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น
.
ปกติแล้ว ผมไม่มีคำพูดที่จะสร้างแรงบันดาลใจและให้กำลังใจคุณ ผมมีแต่ความเป็นจริงที่โหดร้าย
คุณต้องเลือกว่าจะเสียสละหรือไม่ หลังจากนั้น คุณจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณเอง
.
ประเด็นก็คือ สิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเสียสละในระยะสั้น มันเป็นเสมือนการลงทุนจากมุมมองในระยะยาว คุณอาจต้องสูญเสียบางอย่างไปล่วงหน้า แต่สิ่งที่คุณจะได้คืนมานั้น มีค่ามากกว่าสิ่งที่คุณต้องเสียไปในตอนแรก นี่เป็นหลักการดั้งเดิมที่ว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
นั่นคือสาระสำคัญของบทความชิ้นนี้
คุณรู้ดีอยู่แล้ว ผมแค่เป็นเสมือนเครื่องเตือนความจำของคุณว่า จงพร้อมที่จะเสียสละสิ่งต่อไปนี้ในระยะสั้น เพื่อชัยชนะของคุณในระยะยาว
.
.
เวลาบางส่วน
“ผมเกลียดการฝึกซ้อมอยู่ทุกนาที แต่ผมบอกตัวเองว่า ‘ห้ามหยุด จงทนทุกข์ในขณะนี้และใช้ชีวิตที่เหลือของตัวเองในฐานะแชมป์” – Muhammed Ali
ผมเคย ตื่นนอนตอนตี 5 เกือบทุกวัน ช่วงที่ผมก้าวสู่อาชีพนักเขียนและทำงานประจำควบคู่กันไป ผมไม่เคยชอบมันเลย แล้วผมแก้ปัญหาอย่างไรน่ะเหรอ? ผมก็แค่ตื่นให้เช้าขึ้นกว่าเดิม เพราะผมไม่เห็นทางเลือกอื่น
.
เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย ผมยอมเสียสละเวลา ‘เล่นสนุก’ แต่ในที่สุดผมก็รู้ว่า การ ‘เสียสละ’ นั้น มันไม่ใช่การเสียสละอะไรเลย เพราะผมสนุกกับงานที่ทำ
.
ผมจำไม่ได้ว่าดูรายการทีวีครั้งสุดท้ายเมื่อไร ผมไม่ได้บังคับให้ตัวเองงดดูทีวีแบบมากมาย ผมแค่งดทำสิ่งนั้นเพื่อไปทำสิ่งอื่น มันไม่ได้เป็นจริยธรรมประจำตัวผมเลย
.
นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณเช่นกัน คุณไม่จำเป็นต้อง พยายาม เลิกผลาญเวลา มันจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อคุณค้นพบสิ่งที่คุณอยากทำ ‘ความสนุก’ จะแทรกซึมเข้าสู่ชีวิตคุณเอง
งานจะกลายเป็นเรื่องสนุก คุณไม่จำเป็นต้องงดกิจกรรมบันเทิงและการผ่อนคลายใดๆ คุณเพียงแค่ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่าในใจคุณอีกต่อไป
.
หลังจากที่คุณเสียสละเวลาล่วงหน้าไปแล้ว คุณจะได้มันกลับคืนมาในภายหลัง ตอนนี้ผมไม่ต้องตื่นตอนตีห้าแล้ว ผมนอนได้จนกระทั่งถึง 7 หรือ 8 โมงเช้า บางวันผมทำงานสองชั่วโมง บางวันก็ 14 ผมสามารถบินไปเที่ยวและหยุดงานหนึ่งหรือสองสัปดาห์ไปเลยก็ได้ ผมสามารถเลือกได้ว่าจะทำอย่างไรกับเวลาของผม
การเสียสละล่วงหน้าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าสำหรับผม คุณสามารถตัดสินใจเอาเองว่า มันจะคุ้มค่าสำหรับคุณหรือไม่
.
.
การเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
“บางคนไม่เคยทำตัวบ้าบอ ชีวิตของพวกเขาจะน่ากลัวเพียงใดหนอ” – Charles Bukowski
……ผมอิจฉาคนที่ไม่ถูกครอบงำด้วยความฝันและความทะเยอทะยาน……
ผมคิดในใจว่า “มันคงจะดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ไปหาความสุขกับเพื่อนๆ ทำกิจกรรมเดิมๆทุกวันหยุดแบบไม่ต้องสนใจอะไร พูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศ คิดเรื่องการเมือง และไม่ต้องคอยคิดว่าจะใช้ช่วงเวลาในแต่ละวันอย่างไร”
การอยู่อย่าง ‘สิ้นหวังแบบเงียบๆ’ ช่วยให้คุณสงบสุขได้ในระดับหนึ่ง บางครั้งผมก็ต้องการมัน แต่โดยรวมแล้วผมชอบที่จะทำในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบเดียวกับที่คุณจะต้องเจอ
.
คุณจะไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้เช่นกัน ยิ่งคุณพัฒนาตัวเองขึ้นมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งคาดหวังว่าคนอื่นๆควรจะพัฒนาเหมือนคุณ แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่เป็นเช่นนั้น และคุณก็จะสิ้นเปลืองพลังงานไปกับการพยายามเปลี่ยนแปลงพวกเขา ดังนั้น อย่าพยายามเลย
.
จงพร้อมที่จะโดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร และจงเตรียมพร้อมในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน
.
จงถามตัวเองว่า คุณอยากเป็นผู้นำหรือไม่? คุณต้องการที่จะโดดเด่นไหม? มันขึ้นอยู่กับคุณ
แต่ยังมีด้านบวกที่ซ่อนอยู่ในความโดดเด่นเช่นกัน ผู้คนที่เฝ้าดูคุณพัฒนาตัวเองขึ้นมาจะได้รับแรงบันดาลใจจากคุณและจะหันเข้าหาคุณ ในตอนแรกพวกเขาจะไม่ให้ความสนใจกับคุณอย่างจริงจัง แต่ภายหลังพวกเขาจะต้องการ ‘เป็นอย่างคุณ’ บ้าง
จงต้อนรับพวกเขาสู่โลกของคุณและยึดมั่นในคติเดิม: คุณอยู่เพื่อใครบางคนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อทุกคน
แค่นั้นล่ะครับ
ความรู้สึกในระยะสั้น
“ความเสียใจไปตลอดชีวิตนั้น ทรมานกว่าการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน” – Dawn Graham
99.99 เปอร์เซ็นต์ของปัญหาของคุณ เกิดจากความต้องการที่จะรู้สึกดีในระยะสั้น
ตัวตนระยะสั้นของคุณ มักต้องการรู้สึกดีตลอดเวลา แต่เพื่อความสำเร็จในระยะยาวคุณจะต้องผ่านช่วงเวลาที่คุณรู้สึกแย่กับตัวเองบ้าง จากการที่คุณยังอ่อนหัดในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อตัวเอง
.
มันช่างบ้าสิ้นดี ชีวิตของคุณทั้งหมดเกิดจากผลลัพธ์ของการเสียสละบางสิ่งเพื่อบางสิ่งอยู่เสมอ รวมถึงความสิ้นหวังจากการพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง การที่ต้องยับยั้งชั่งใจอย่างไม่รู้จบ และการสั่งสมของผลกระทบจากการตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
.
คุณอาจถูกหามออกจากเวทีแห่งชีวิตในระหว่างที่คุณเสียสละความสุขในปัจจุบันของคุณเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายระยะยาวในอนาคต แต่ตอนนี้คุณยังไม่เจอปัญหาหนักขนาดนั้น เมื่อคุณเจอปัญหาดังกล่าว คุณต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมัน คุณต้องย้อนกลับไปอ่านเรื่องของการเสียสละเวลา คุณต้องหาเวลาและสร้างโอกาสขึ้นมา เพื่อที่จะได้ดื่มด่ำกับความสุขในภายหลัง
.
เรื่องส่วนใหญ่ที่คุณทำเพื่อสนองตัวตนระยะสั้นของคุณอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ มันไม่ใช่ตัวตน สติสัมปชัญญะ และความสุขที่แท้จริง มันมักจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณเกิดความไขว้เขวและทำลงไปเพื่อลืมความทุกข์ชั่วขณะ
เมื่อคุณจมอยู่กับความรู้สึกระยะสั้น ชีวิตจะแย่ลงเรื่อยๆ ความรู้สึกระยะสั้นจะทำให้คุณติดกับดัก ยิ่งคุณตกอยู่ในกับดักดังกล่าวและหมกมุ่นอยู่กับความสุขชั่วขณะเหล่านั้นนานเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการตอกฝาโลงให้กับตัวเองแน่นขึ้นเท่านั้น
คำพูดของผมอาจฟังดูโหดร้าย แต่ก็เพราะมันเป็นเรื่องจริง และเป็นเพราะผมใส่ใจคุณมากพอที่จะบอกความจริงแก่คุณ
.
.
อัตลักษณ์เดิมของคุณ
“คำพูดใดก็ตาม ที่ต่อท้ายคำว่า “ฉันเป็น”จะกลายมาเป็นตัวคุณเสมอ หากคุณพูดว่า ‘ฉันเป็นคนซุ่มซ่าม’ คุณก็จะซุ่มซ่าม หากพูดว่า’ฉันเป็นคนแก่’ คุณก็จะมีรอยตีนกา หากพูดว่า’ฉันเป็นคนอ้วน’ แคลอรี่จะถามหาคุณ ราวกับว่า คุณกล่าวเชื่อเชิญพวกมันมา ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรต่อท้ายคำว่า ‘ฉันเป็น’ ก็เท่ากับการส่งคำเชิญและเปิดประตูให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่ชีวิตของคุณ” – Joel Olsteen
คุณมีอัตลักษณ์ที่คุณสร้างขึ้นมาเป็นเวลานาน คุณไม่ต้องการที่จะปล่อยวางมัน ไม่ว่ามันจะทำให้ชีวิตคุณเป็นอย่างไร เพราะคุณถือว่ามันเป็น …ตัวตนของคุณ
.
ที่จริงแล้ว บุคลิกภาพของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ คุณสามารถที่จะกลายเป็นคนที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ก็ต่อเมื่อคุณทำลายอัตลักษณ์เดิม และคุณจะต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า หลังจากปล่อยมันไป
คุณพูดประโยคด้านล่างนี้กับตัวเองมากี่ครั้งแล้ว?
“นั่นคือตัวตนของฉัน”
ช่วงที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปต่างประเทศคนเดียว เพื่อพบปะผู้คนใหม่ๆ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะผมต้องการที่จะก้าวออกจากความเคยชินของตัวเอง และกำจัดภาพลักษณ์ที่ว่า ผมเป็นคนเก็บตัว
.
ผมเป็นคนแบบนั้นจริงหรือเปล่า? ก็จริงอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมเป็นคนชอบเก็บตัว คำใดก็ตามที่ต่อท้ายคำว่า “ฉันเป็น” เป็นเสมือนคำที่คอยเหนี่ยวรั้งชีวิตคุณไว้โดยไม่จำเป็น
พยายามปล่อยวางความคิดที่มากำหนดอัตลักษณ์ของคุณ ซึ่งทำให้คุณไม่สามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ในแบบที่แตกต่างออกไป
.
คุณชอบที่จะรู้สึกถึงความมั่นคงทางใจในระดับหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์ชีวิตของคุณจะแย่ คุณก็ยังพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองให้ได้ ในขณะที่การปล่อยวางมักทำให้คุณรู้สึกว้าวุ่นใจ แต่คุณจะได้เรียนรู้ว่า ความวุ่นวายที่คุณรู้สึกนั้น สามารถกลายมาเป็นรากฐานของการฝึกฝนให้คุณมีตัวตนใหม่ ในแบบที่เฉียบคม มีพลัง และฉลาดมากขึ้น
เมื่อคุณเข้าใจว่า การขังตัวเองอยู่กับความเคยชินเดิมๆ ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับคุณ คุณจะสามารถเริ่มต้นวิวัฒนาการแห่งการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ใหม่ ซึ่งพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่พบกับความท้าทายในชีวิต
.
.
ความสะดวกสบายทั้งปวง
“หากคุณไม่อยากลุกจากเตียงในยามเช้า จงบอกตัวเองว่า “ฉันต้องไปทำงาน ในฐานะมนุษย์ปุถุชน ฉันจะบ่นไปเพื่ออะไร? ในเมื่อฉันกำลังจะไปทำในสิ่งที่ฉันถูกกำหนดมาให้ทำในโลกใบนี้ หรือฉันเกิดมาเพียงเพื่อทำสิ่งนี้? นอนกอดก่ายภายใต้ผ้าห่มและอบอุ่นร่างกายเท่านั้นหรือ?” – Marcus Aurelius
จงกำจัดความคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความเคยชินออกไปและเลิกวางเป้าหมายในการกำจัดมัน
บางคนอ่านแล้วอาจจะตอบกลับมาในทำนองที่ว่า: “แต่คนเราจำเป็นต้องมีความรู้สึกมั่นคงทางใจไม่มากก็น้อยนะ!”
เห็นได้ชัดว่า คุณไม่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ไม่มีความมั่นคงใดๆเลย….
การกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม การมีเงินออม และการสร้างกิจวัตรประจำวันขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญอันจำเป็นสำหรับการมีชีวิตที่ดี อย่างไรก็ดี คุณต้องหลีกเลี่ยงการอยู่กับความเคยชินเป็นเวลานานเกินไป เพราะมันไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้:
⦁ มุมมองต่อโลก – หากมุมมองของคุณที่มีต่อโลกใบนี้ยังคงเหมือนเดิมมาเป็นแรมปี แสดงว่าคุณไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเลย
⦁ ปัญหา – คุณไม่สามารถหลีกหนีปัญหาได้ แต่อย่างน้อยก็ควรมีปัญหาในระดับที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ชีวิตคุณดีขึ้นเรื่อยๆ
⦁ ความมั่นใจ – คุณไม่ควรจะมีความมั่นใจในระดับคงที่ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งในชีวิต คุณควรผลักดันชีวิตให้มีความมั่นใจสูงขึ้น บางครั้งคุณควรที่จะท้าทายความมั่นใจของตัวเองด้วยการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ
เหตุใดคุณจึงมองหาทางออกอย่างสิ้นหวัง? ทำไมคุณถึงอยากให้ปัญหาหมดไปเสียที?
ผมเคยคิดว่าปัญหาทั้งหมดของผมจะหมดไปหากงานเขียนของผมเป็นไปด้วยดี แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่มีที่ใดจะหลบหนีจากปัญหาไปได้เลย ผมจึงเลิกมองหาจุดจบของปัญหา จากนั้น ผมก็กลับมาใช้ชีวิตต่อไปและเริ่มต้นโปรเจ็คใหม่ๆ เพราะการเดินทางของชีวิตเป็นเป้าหมายในตัวมันเองอยู่แล้ว ถึงแม้จะฟังดูน่าเบื่อก็ตาม
.
คุณไม่ได้ต้องการทอดกายริมชายหาด พร้อมด้วยเครื่องดื่มที่คอยมาเสิร์ฟแบบไม่อั้น และเงินมหาศาลในบัญชีธนาคารหรอก คุณอาจคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ โถ….หลังจากไปเที่ยวพักผ่อนสัปดาห์เดียว คุณก็พร้อมที่จะกลับมาทำงานตามปกติแล้ว
.
โดยทั่วไปแล้ว คุณต้องรู้จักสร้างสรรค์โปรเจคท์และเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ตั้งแต่สิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างงานอดิเรก ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆอย่างการทำธุรกิจ คุณต้องพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายที่ช่วยผลักดันคุณ ซึ่งไม่ได้ทำให้คุณตายลงไป จากนั้น คุณจะสามารถมองย้อนกลับไปที่ชีวิตของคุณแล้วพูดกับตัวเองว่า “โอ้โห…ฉันทำสำเร็จได้ยังไงเนี่ย?”
เวลาที่ใช้ไปกับการคบหาคนที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตคุณ
“ทัศนคติเชิงลบ เปรียบเสมือนควันบุหรี่มือสองทางอารมณ์” – Ayodeji Awosika (นั่นคือคำพูดของผมเองล่ะ แต่เอาน่า…มันฟังดูดีออก)
คุณไม่จำเป็นต้องตัดผู้คนในชีวิตของคุณ ที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่คิดพัฒนาตนเอง และไม่ได้มีค่านิยมที่สอดคล้องกับคุณออกไปทั้งหมด
.
ผมแค่จะบอกว่า คนที่คุณเลือกคบค้าสมาคมด้วย จะมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของคุณ
ผมไม่ได้ต้องการให้คุณอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ประเด็นคือ การใช้เวลาคิดอย่างมีสติเกี่ยวกับคนที่คุณเลือกคบหาในชีวิตของคุณ และตระหนักว่าคุณอาจจะต้องยอมสลัดทิ้งความสัมพันธ์กับบางคนที่กำลังเหนี่ยวรั้งชีวิตคุณ
.
บางทีคุณอาจเป็นคนประเภทที่หายาก คือ มีกลุ่มเพื่อนและความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคุณก็ควรจำกัดระยะเวลาในการใช้ชีวิตร่วมกับใครบางคน
.
ตอนที่ผมจดจ่อกับอาชีพการเขียนของผมอย่างหนักหน่วง ผมก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่ชอบดื่ม ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนไม่ดี แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าผมไม่ได้มีความตั้งใจที่จะออกไปเที่ยวกับพวกเขาและไม่ได้สนใจในกิจกรรมเดียวกัน
การจัดโครงสร้างสภาพแวดล้อม ถือเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ และบ่อยครั้งที่การสลัดบางอย่างทิ้งไป สามารถช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมของคุณให้ดีขึ้น
.
.
ศัตรูอันดับหนึ่งของคุณ
“เมื่อเราละทิ้งอัตตา เราจะเหลือแต่สิ่งที่เป็นของจริง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเปี่ยมด้วยความถ่อมใจและความมั่นใจ ในขณะที่อัตตาเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่ง แต่ความมั่นใจที่เกิดขึ้นนี้ สามารถที่จะแบกรับปัญหาต่างๆได้ เมื่ออัตตาหายไป ความมั่นใจจึงเกิดขึ้นมา อัตตาเป็นการยกยอตัวเอง ความหยิ่งผยองของมันเป็นการเสแสร้ง สิ่งหนึ่งคือการควบคุมตัวเอง อีกสิ่งหนึ่งคือการหลอกลวงผู้อื่น นั่นเป็นความแตกต่างระหว่างยาบำรุงและยาพิษ” – Ryan Holiday
ลองไปหาหนังสือ Ego is the Enemy ที่เขียนโดย Ryan Holiday มาอ่านดู หนังสือเล่มนี้ยังคงอยู่ในใจผมเสมอมาและมันอาจเป็นหนังสือที่ดีที่สุดเขาเขียน เมื่อคุณคิดถึงการเสียสละทั้งหมดที่จำเป็นในการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ มันล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับการเสียสละอัตตาของคุณ
⦁ เวลา
– คุณกลัวที่จะ ‘เสียเวลา’ กับสิ่งที่อาจจะได้หรือไม่ได้ผล แต่นั่นเป็นเรื่องของอัตตา เพราะมันทำให้คุณคิดว่า คุณรู้ว่าต้องใช้เวลาไปกับสิ่งใดจึงจะดี ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองทำสิ่งนั้นเลย เห็นได้ชัดว่า คุณไม่ได้รู้จริง ไม่เช่นนั้นคุณก็คงจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างไปตั้งนานแล้ว
⦁ การเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
– สิ่งใดจะได้รับผลกระทบถ้าคุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น? ก็อัตตาและความรู้สึกของคุณนั่นเองล่ะ ผมใช้วลีต่อไปนี้เพื่อกระตุ้นตัวเองเมื่อเกิดความกลัว “โถๆๆ… แกกลัวว่า ความรู้สึกอันน้อยนิดของแกจะถูกทำร้ายเหรอ?” นั่นคือทั้งหมดที่เรากลัว
⦁ ความรู้สึกระยะสั้น
– ข้อนี้มันอธิบายชัดในตัวเองอยู่แล้ว การเสียสละตัวตนในอนาคต เพื่อตัวตนในปัจจุบันของคุณ เป็นเรื่องของอัตตาล้วนๆเลย
⦁ อัตลักษณ์
– อัตตาของคุณต้องการให้คุณยึดติดกับตัวตน เพราะสมองในส่วนลึกของคุณ ไม่เห็นความสำคัญกับการรู้แจ้งของคุณเลย มันแค่ใส่ใจเกี่ยวกับการทำให้คุณปลอดภัยและมีชีวิตอยู่เพื่อที่คุณจะได้สืบพันธุ์ ความไม่แน่นอนและความหาญกล้าของสมองส่วนหน้านั้น ขัดแย้งกับเป้าหมายทางชีววิทยาของคุณเอง ดังนั้น คุณต้องทำการ “ควบคุม” มัน ด้วยตนเอง
⦁ ความเคยชิน
– แก่นแท้ของความเคยชิน คืออะไร? มันก็คือการที่อัตตาพร่ำบอกคุณว่า คุณควรที่จะรู้สึกดีๆได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล ส่วนความกลัวที่จะออกนอกกรอบแห่งความเคยชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นและการถูกปฏิเสธนั้น ขึ้นอยู่กับความคิดที่ว่า ใครๆก็ให้ความสนใจคุณ ทั้งๆที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
⦁ ผู้คน
– อัตตาของคุณหลอกให้คุณคิดว่า คุณสามารถ ‘ช่วย’ คนที่หมดทางเยียวยาได้ นอกจากนี้ คุณยังหยิ่งยะโสมากพอที่จะคิดว่า คุณสามารถเอาชนะสภาพแวดล้อมทั้งปวงได้ ทั้งๆที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ลองนึกภาพว่า คุณสามารถใช้ชีวิตในโลกนี้ได้โดยปราศจากอัตตา มันไม่ได้ทำให้คุณหมดความมั่นใจ ตรงกันข้าม คุณจะสามารถเป็นตัวของตัวเองและทำในสิ่งที่สำคัญกับคุณได้โดยไม่ต้องคอยพึ่งพิงคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ในการที่จะค้นหาแก่นแท้ของความเป็นตัวเอง
นั่นคืออิสรภาพที่แท้จริง
มันเป็นเป้าหมายที่บรรลุได้หรือไม่? ผมไม่รู้
มันคุ้มค่าหรือไม่? ไม่ต้องสงสัยเลย