บ่อยครั้ง สิ่งที่กีดขวางระหว่างคุณและการเดินทางไปสู่ความสำเร็จ ก็คือตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิด นิสัย การกระทำ หรือทัศนคติของคุณ
.
คุณจะเข้าใจคำพูดอันโด่งดังของวิล ดูแรนต์ ที่ว่า “เราจะเป็นในสิ่งที่เราทำซ้ำๆ” ก็ต่อเมื่อคุณเข้าถึงคำกล่าวของรูมิ ที่กล่าวว่า:
“เมื่อวาน ฉันเป็นคนฉลาด ดังนั้น ฉันจึงต้องการเปลี่ยนโลก วันนี้ฉันมีสติปัญญาแล้ว ฉันจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง”
ต่อไปนี้ คือ นิสัยประจำวัน 10 ประการที่ฉันนำมาปรับใช้ ซึ่งช่วยพัฒนาชีวิตของฉันได้เป็นอย่างมาก นิสัยเหล่านี้ทำให้ฉันรู้จักตัวเองมากขึ้น มีประสิทธิผลมากขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มพลังงานและความแน่วแน่ให้กับฉัน
.
.
ตั้งค่าโทรศัพท์ให้เป็น Airplane Mode ก่อนเข้านอน
คุณรู้ไหมว่า การตื่นนอนแบบไหน ช่วยให้รู้สึกดีที่สุด? มันคือการตื่นมาโดยไม่มีการแจ้งเตือน การโทรเข้า และข้อความทางโทรศัพท์ ไม่มีอะไรที่ฉันต้องใส่ใจ
.
จากการศึกษา ของ IDC Research ระบุว่า “ประมาณ 80% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน มักตรวจเช็คโทรศัพท์ภายใน 15 นาทีหลังจากตื่นนอนทุกเช้า” หากคุณเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น คุณต้องเลิกทำ
.
การเช็คโทรศัพท์มือถือของคุณเป็นอันดับแรกหลังจากตื่นนอน เป็นการเพิ่มระดับความเครียดและกระตุ้นสมองของคุณให้ต้องคอยรับมือต่อสิ่งเร้าต่างๆ ที่สำคัญกว่านั้น คือ มันเป็นการทำให้สมองของคุณให้ตกอยู่ในภาวะการตอบสนองแบบอัตโนมัติ แทนที่จะอยู่ในสภาวะแอคทีฟ กล่าวคือ มันทำให้คุณสูญเสียพลังไปกับการตอบสนองต่อการเรียกร้องของผู้อื่น สมองของคุณจะล้นไปด้วยข้อมูลต่างๆ
.
การตั้งค่าโทรศัพท์ของฉันเข้าสู่ Airplane Mode ช่วยกำจัดวงจรในทางลบดังกล่าวออกไป ปัจจุบันนี้ ฉันสามารถตื่นนอนโดยปราศจากความเครียดและความฟุ้งซ่าน และออกห่างจากโทรศัพท์ของฉันได้ในช่วง 30 นาทีแรกหลังจากตื่นขึ้นมา
.
.
ทำสมาธิทุกเช้า
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ฉันได้สร้างอุปนิสัยในการทำสมาธิเป็นเวลา 15 นาทีหลังจากตื่นนอนทุกเช้า และฉันสังเกตเห็นความแตกต่างด้านพลังงานทางจิตอย่างชัดเจน หากฉันหยุดทำสมาธิเป็นเวลาติดต่อกัน 2-3 วัน
.
วันใดที่ฉันทำสมาธิ ฉันจะรู้สึกราวกับว่า ฉันสามารถกำหนดสิ่งต่างๆในวันนั้นได้
ฉันฝึกฝนเพื่อให้ฉันสามารถจดจ่อและควบคุมจิตใจของตนเองได้ มันช่วยให้ฉันรู้สึกสงบและเกิดความชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ฉันมุ่งความสนใจไปที่การทำงานต่างๆที่ต้องทำในระหว่างวัน (เช่น งานเขียน)
.
การทำสมาธิ มีประโยชน์ 12 ประการจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับการฝึกฝนทุกวัน คือ ในโลกแห่งความโกลาหลที่รบกวนสมาธิของฉัน ฉันก็ยังสามารถเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสภาวะอารมณ์และจิตใจที่สงบได้
.
.
บริหารร่างกายทุกเช้า
ฉันเริ่มนิสัยนี้เพราะฉันไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากเกิดอุบัติเหตุไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้กระดูกสันหลังของฉันหัก ฉันก็เลยมีอาการอย่างรุนแรงที่หลังของฉัน
.
ฉันได้รับอุปกรณ์บริหารกายมาจากนักกายภาพบำบัดของฉัน เอาไว้บริหารกายทุกวัน มันช่วยปรับความไหลลื่นให้แก่ร่างกายของฉัน ตอนนี้กล้ามเนื้อฉันยืดหยุ่นกว่าเดิมมาก ฉันยังสามารถก้มตัวและวางฝ่ามือบนพื้นได้โดยไม่ต้องย่อหัวเข่า
หลังจากสมาธิในตอนเช้า ฉันจะม้วนตัวออกและยืดร่างกายของฉัน บางครั้งฉันก็เล่นท่าโยคะที่หลากหลายและบริหารกายด้วยท่าม้วนแผ่นโฟม สิ่งสำคัญคือ ฉันได้กระตุ้นร่างกายของฉันให้ตื่นตัวและสูดรับอากาศเข้าไป
.
.
หัดซาบซึ้งใจในเรื่องดีๆ: หนึ่งบรรทัดต่อวัน
“โอกาส ความสัมพันธ์ และแม้แต่เงินทอง ไหลมาสู่ชีวิตของฉัน เมื่อฉันเรียนรู้ที่จะซาบซึ้งใจในเรื่องดีๆ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของฉัน” – โอปราห์
เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆในชีวิต คุณจะกลายเป็นคนที่รู้จักซาบซึ้งใจในสิ่งดีๆได้ด้วยการฝึกฝน วิธีที่ดีที่สุดที่ได้ผลสำหรับฉัน คือ หนึ่งบรรทัดต่อวัน ทุกคืนก่อนเข้านอนฉันจะเปิดสมุดบันทึกแล้วถามตัวเองว่า “วันนี้ฉันรู้สึกขอบคุณเรื่องอะไรบ้าง” จากนั้น ฉันก็เขียนลงไปเพียงหนึ่งบรรทัด
.
แค่นั้นล่ะครับ นิสัยนี้ช่วยให้ฉันเข้านอนในสภาวะจิตที่เป็นบวกมากขึ้น
สิ่งที่งดงามของการฝึกเช่นนี้ คืออะไรน่ะเหรอ? คุณสามารถมองย้อนกลับไปในหนึ่งปีที่ผ่านมาและค้นหา 365 สิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ นั่นเรียกว่าการมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ และชีวิตแบบนั้นก็ควรค่าแก่การขอบคุณ มิใช่หรือ?“
.
.
การเขียนทุกวัน
ฉันเพิ่งเริ่มงานเขียนและได้รับการตีพิมพ์ในช่วงปลายปี 2019 เท่านั้น และการบอกว่ามันเป็นสิ่งที่พลิกชีวิตของฉัน ยังถือว่าน้อยไป เหตุผลก็คือ:
⦁ การเขียนทำให้ชีวิตฉันมีเป้าหมาย
ฉันเชื่อว่าการเติมเต็มในชีวิตนั้นมาจากการทำสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง สำหรับฉัน มันคือการเขียน ดังนั้น ฉันจึงเริ่มเขียน มันเป็น ” เรื่องเฉพาะตัว ” ของฉัน ฉันใช้คำพูดของฉันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ คอยส่งเสริมให้ผู้อื่นทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง และช่วยให้ผู้คนดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์มากขึ้น
⦁ การเขียนทำให้ฉันมีความชัดเจนมากขึ้น
ฉันเขียนเป้าหมายของฉันลงในสมุดบันทึกทุกเดือนและฉันไตร่ตรองถึงความคืบหน้าทุกสัปดาห์ ฉันจะเขียนบรรยายความรู้สึกของตัวเองลงในสมุดบันทึก สัปดาห์ละสองครั้ง รูปแบบของการสนทนากับตนเองนี้เป็นวิธีที่ช่วยให้เราตระหนักถึงความคิดของตนเองมากขึ้น ในทางกลับกัน ก็ช่วยให้เราตระหนักถึงอารมณ์ของเราและเกิดความรู้แจ้งมากขึ้นว่า เราต้องการให้ชีวิตเป็นไปในทิศทางใด
⦁ การเขียนช่วยให้ฉันเข้าใจสิ่งที่ฉันอ่านและเรียนรู้
บทความที่ฉันเผยแพร่จำนวนมากได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือที่ฉันอ่าน การเขียนแนวคิดและไอเดียออกมา ช่วยให้ฉันขัดเกลาพวกมันให้ดีขึ้น สิ่งนี้เรียกว่า “ผลแห่งการสร้างสรรค์”
อันเป็นแนวคิดที่ระบุว่า เราสามารถเรียนรู้สิ่งที่เราอ่านได้ เมื่อเราเขียนมันออกมา
ฉันกลายเป็นคนที่มีประสิทธิผล ตระหนักในตนเอง และมีวินัยมากขึ้นจากอุปนิสัยในการเขียนทุกวัน ดังนั้น คำแนะนำของฉันคือ จงเขียนทุกวัน เปิดสมุดบันทึกและไตร่ตรอง เพื่อเขียนเกี่ยวกับตัวคุณเอง และถ้าคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร ให้ลองจดบันทึกหนึ่งบรรทัดต่อวัน จากนั้น ค่อยๆเพิ่มเป็นสอง สาม และสี่ …
.
การเขียนบันทึกเปลี่ยนชีวิตของคุณเช่นเดียวกับโอปราห์ แบรนสัน และแมนเดลลา ได้อย่างไร
การแปลงความคิดเป็นถ้อยคำ สามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งในทุกด้านของชีวิตของคุณ
medium.com
.
.
งดอาหารเป็นช่วงๆ
ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบเกี่ยวกับการฝึกงดอาหาร จากนิตยสาร Healthline: “การงดอาหารเป็นช่วงๆ คือ รูปแบบการหมุนเวียนระหว่างการกินและการงดอาหาร ด้วยการงดอาหารวันละ 16 ชั่วโมงและจำกัดมื้ออาหารของคุณให้อยู่ในกรอบเวลา 8 ชั่วโมง อย่าทานอาหารในระหว่างช่วงของการงด แต่คุณสามารถดื่มน้ำ กาแฟ ชา และเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ปราศจากแคลอรี่ได้”
มีผลการศึกษาจำนวนมากที่วิจัยประโยชน์ของการงดอาหารเป็นช่วงๆ แต่ฉันทำด้วยเหตุผล 3 ประการ:
⦁ มันช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้นและเร่งการลดน้ำหนัก
⦁ มันช่วยให้ความคิดแจ่มชัดและทำให้เกิดสมาธิ
⦁ มันช่วยให้ฉันได้ฝึกฝนจิตตานุภาพ
ฉันงดอาหารเป็นกิจวัตรในช่วงวันทำงาน โดยที่อาหารมื้อแรกของฉันในแต่ละวัน จะทานในช่วง 11.30 – 13.00 น. ดังนั้น ช่วงของการงดอาหารของฉันจะอยู่ในกรอบระยะเวลา 14 – 15 ชั่วโมง และด้วยการผสมผสานระหว่างการงดอาหารเป็นช่วงๆ การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการออกกำลังกายเป็นประจำ จึงทำให้ฉันสามารถจำกัดน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นให้ไม่เกิน 2 กิโลกรัม ได้ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
.
.
หมั่นตรวจสอบอุปนิสัย
“ความสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาโมเมนตัมและบรรลุเป้าหมาย” – Darren Hardy
สิ่งใดก็ตามที่คุณต้องการจะบรรลุผลสำเร็จในชีวิต มีเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยคุณได้ นั่นก็คือ ความสม่ำเสมอ ที่จริงแล้ว ความสม่ำเสมอเป็นคำที่แสดงความมุ่งมั่น ของฉันในปีนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะรักษาความสม่ำเสมอคืออะไร? การหมั่นตรวจสอบอุปนิสัย นั่นเอง
.
ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับแนวคิดนี้จากหนังสือที่ชื่อว่า Atomic Habits มันช่วยเปลี่ยนความคิดของฉันเกี่ยวกับการ สร้างอุปนิสัยและระบบที่ดีขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเรา การติดตามนิสัย คือ การหมั่นตรวจสอบพฤติกรรมของตัวคุณเอง เพื่อให้คุณสามารถวัดความก้าวหน้าในขณะที่คุณพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
ด้านล่างนี้ คือ ภาพตัวอย่าง:
เพียงแค่กรอกรายชื่ออุปนิสัยที่คุณต้องการติดตามตรวจสอบในเดือนที่ต้องการ และเมื่อใดก็ตามที่คุณกระทำการใดๆ ก็ให้ทำเครื่องหมาย X ในช่องนั้นๆ เป้าหมายของคุณ คือ อย่าทำลายความต่อเนื่องของ X ตอนนี้ฉันกำลังติดตามตรวจสอบอุปนิสัยประจำวัน เช่น การทำสมาธิ การบริหารกาย การเขียน การอ่าน การออกกำลังกาย และในเดือนนี้ฉันได้เพิ่มสิ่งใหม่เข้าไป คือ การตื่นนอนเวลา 6.00 น.
.
.
สโลว์ไลฟ์
ฉันใช้ชีวิตในช่วงอายุยี่สิบกว่าๆของฉันแบบรวดเร็วและไล่ตามความสุข ฉันตั้งเป้าหมายที่ไม่สมจริง ฉันผลักดันตัวเองแรงเกินไป และในที่สุด เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ฉันก็เริ่มเหนื่อยหน่าย
นั่นคือตอนที่ฉันตัดสินใจทำสิ่งนี้: ฉันจะหยุดใช้ชีวิตอย่างรวดเร็วและฉันจะเริ่มใช้ชีวิตให้ช้าลง
การใช้ชีวิตอย่างช้าๆ หมายรวมถึงการรู้จักฟังเสียงเรียกร้องของร่างกายคุณและพักผ่อนอย่างเหมาะสม มันหมายถึงการนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อคืน ไม่บังคับตัวเองให้ออกกำลังกายถ้ารู้สึกเหนื่อย มันหมายถึงการปฏิเสธที่จะฝืนความอ่อนเพลียของตัวเอง
.
คุณจะสร้างนิสัยการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้ ก็ต่อเมื่อคุณเริ่มเห็นในสิ่งที่สามารถรู้สึกได้ด้วยหัวใจ
การใช้ชีวิตอย่างช้าๆหมายถึงการไม่รีบร้อนในตอนเช้า แต่ให้ตื่นเร็วขึ้นเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ของคุณ มันไม่ได้หมายความว่า “ขี้เกียจ” แต่หมายถึงการทำงานอย่างหนักเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของคุณในแต่ละวัน ด้วยก้าวเล็กๆ ทีละก้าว
.
การใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ หมายถึง การดำเนินชีวิตโดยปราศจากแรงกดดันจากตัวเอง
คุณสามารถสร้างนิสัยของการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้ ก็ต่อเมื่อคุณเริ่มเห็นสิ่งที่สามารถรู้สึกได้ด้วยหัวใจเท่านั้น เช่น บทเพลงที่ซ่อนอยู่ในเสียงร้องของนก ความสุขของการนั่งรอบโต๊ะอาหารกับเพื่อนๆ ความงามของพระอาทิตย์ตกดิน ฯลฯ
.
.
การอ่านอย่างน้อยหนึ่งบทความต่อวัน
การอ่านจะช่วยขยายความคิดและเพิ่มจินตนาการที่สร้างสรรค์ของเรา ในขณะที่ฉันตั้งใจจะเขียนหนังสือเล่มใหม่เดือนละเล่มด้วยการอ่านหนังสือวันละสองสามหน้า มักจะมีวันที่ฉันไม่ได้หาเวลาเปิดหนังสืออ่าน ฉันจึงเริ่มอ่านบทความออนไลน์
.
นี่เป็นไอเดียแบบง่ายๆ มีความรู้มากมายอยู่ทั่วไปและยิ่งฉันบริโภคมากเท่าไร ผลผลิตของฉันก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้น ฉันจึงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะอ่านทุกวันและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการอ่านบทความแค่ 500 คำเท่านั้น
.
.
ดื่มน้ำอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรก่อนเข้านอนและหลังจากตื่นนอน
จากการศึกษาพบว่า “การดื่มน้ำในตอนเช้า จะช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพของจิตใจ”
ประมาณ 60% ของร่างกายเรา ประกอบด้วยน้ำ และเนื่องจากร่างกายของเราสูญเสียน้ำเป็นประจำ (จากเหงื่อ คาเฟอีน ปัสสาวะ ฯลฯ) เราจำเป็นต้องชดเชยการสูญเสียเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ
.
จงดื่มน้ำ 500 มิลลิลิตรก่อนเข้านอนและในตอนตื่นเช้า มันจะช่วยคงความชุ่มชื้น ขับสารพิษออก และช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดี สำหรับฉัน การดื่มน้ำก่อนเข้านอนช่วยให้ฉันตื่นเร็วขึ้น (การขาดน้ำทำให้คุณเพลีย) และการดื่มน้ำตอนเช้าช่วยกระตุ้นระบบต่างๆในร่างกายของฉัน
.
.
ออกกำลังกาย 30 นาที
“จงดูแลร่างกายของคุณ มันเป็นสถานที่อาศัยแห่งเดียวที่คุณมีอยู่” – Jim Rohn
บางครั้งฉันขี้เกียจ บางครั้งฉันเหนื่อย บางครั้งฉันก็ไม่มีอารมณ์ และสมัยก่อนฉันอาจจะไม่ออกกำลังกาย แต่เช่นเดียวกับอุปนิสัยที่กล่าวมาข้างต้น ฉันพยายามอย่างเต็มที่ๆจะไม่เว้นช่วงมากกว่าสองครั้งติดต่อกัน
.
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเคลื่อนไหวร่างกายทุกวัน ในวันธรรมดาฉันจะไปโรงยิมเพื่อออกกำลังกาย 30 นาที ในวันที่ฉันไม่ไป ฉันจะเดินประมาณ 10 นาทีรอบๆตึก ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันจะออกไปเที่ยวชมธรรมชาติที่สวนสาธารณะ
.
อุปนิสัยในการออกกำลังกาย ทำให้ฉันมีสุขภาพที่ดีจนถึงปัจจุบัน
มันได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า สามารถช่วยเพิ่มอารมณ์บวกและลดความเครียดได้ทันที ที่จริงแล้ว มันช่วยให้คุณเลิกคิดมากได้ด้วย ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจทำสิ่งใด จงอย่าอยู่เฉยๆ