ผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่จำนวนมาก ตัดสินใจที่จะเรียนภาษาสเปนเป็นภาษาที่สอง เพราะพวกเขาบอกว่า ภาษาสเปนค่อนข้างคล้ายกับภาษาอังกฤษ แต่เมื่อคุณดูที่ต้นตระกูลภาษาทั้งสอง คุณจะพบว่า ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในตระกูลเยอรมานิก และภาษาสเปนเป็นภาษาในตระกูลโรมานซ์
มันเป็นไปได้อย่างไร?
ความจริงก็คือ เรื่องนี้เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นอันยากลำบาก ในการที่จะขุดคุ้ยเรื่องราวแห่งการแลกเปลี่ยนและบงการเกี่ยวกับต้นกำเนิดของภาษาอังกฤษ
The Saxon tribe (source)
ด้านที่เกี่ยวข้องกับเยอรมันในภาษาอังกฤษ มีถิ่นกำเนิดจากกลุ่มชนเผ่าเยอรมานิกดั้งเดิม คือ เผ่าแองเกิลส์ เผ่าแซ็กซอน และเผ่าจูทส์ ซึ่งเป็นถิ่นฐานของอาณาจักรเกร็ทบริเทนในศตวรรษที่ 5 พวกเขาใช้หลากหลายภาษาที่แตกย่อยมาจากกลุ่มภาษาเยอรมานิกดั้งเดิม และเมื่อพวกมันถูกหลอมรวมเข้าด้วนกัน ภาษาอังกฤษแบบดั้งเดิมก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
.
.
.
ในศตวรรษที่ 9 ชนเผ่าไวกิ้งได้เริ่มโจมตีอาณาจักรเกร็ทบริเทน จนในที่สุด ก็นำไปสู่การโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ ในช่วงที่กลุ่มชนทั้งสองประมือกัน ก็มีการแลกเปลี่ยนและหยิบยืมเอาคำศัพท์ของอีกฝ่ายมาใช้ ซึ่งนำไปสู่คำศัพท์ภาษาอังกฤษจำนวนมากที่มีรากศัพท์มาจากแถบสแกนดิเนเวียในยุคต้นๆ เช่น คำว่า “sky” และ “egg” หนึ่งในสิ่งที่มีอิทธิพลอันใหญ่หลวงที่สุด คือ การผ่อนปรนในเรื่องของ “เพศไวยกรณ์” และการผันคำ เพื่อช่วยให้การสื่อสารระหว่างชาวไวกิ้งและชาวอังกฤษง่ายขึ้น นี่เป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงข้อแตกต่างอันชัดเจนระหว่างภาษาเยอรมันสมัยใหม่และภาษาอังกฤษสมัยใหม่ในปัจจุบัน
ตัวอักษรสีแดงแสดงถึงการผันคำ (แหล่งที่มา)
Déjà vu? Reservoir? Souvenir? ทำไมภาษาอังกฤษจึงมีคำศัพท์ที่มาจากฝรั่งเศสจำนวนมาก?
ชาวนอร์แมนเข้ายึดครองประเทศอังกฤษ (แหล่งที่มา)
ในปี 1066 วิลเลียมผู้พิชิต ได้ยกทัพบุกเกร็ทบริเทน นี่เป็นจุดกำเนิดของภาษายุคใหม่หรือภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง ภาษาฝรั่งเศสได้กลายมาเป็นภาษาของชนชั้นขุนนาง ภาษากลาง และภาษาแห่งวรรณคดี ชาวฝรั่งเศสเป็นชนชั้นสูงส่วนใหญ่ในโลก แต่ประชากรฝรั่งเศสส่วนใหญ่ไม่ใช่ชนชั้นสูง ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงใช้ภาษาอังกฤษที่มีกลิ่นอายของภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
.
.
.
ถ้าอย่างนั้นแล้ว การผสมผสานระหว่างชาวสแกนดิเนเวีย ฝรั่งเศส และเยอรมัน ส่งผลให้ภาษาอังกฤษมีความ “คล้ายคลึง” กับภาษาสเปนในปัจจุบันได้อย่างไร? ภาษาสเปนเป็นภาษาในตระกูลโรมานซ์ แต่คุณลักษณะของภาษาโรมานซ์ คืออะไรล่ะ?
การขยายอาณาจักรโรมัน (แหล่งที่มา)
ภาษาโรมานซ์มีต้นตระกูลที่มาจากภาษาละติน ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้พูดกันในยุคจักรวรรดิโรมัน จนกระทั่งโรมันล่มสลายลงในปี 476 แห่งสากลศักราช อย่างไรก็ตาม เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย ภาษาของพวกเขาก็ไม่ได้ล้มหายตายจากไปด้วย
ในขณะที่ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่แพร่หลายที่สุดในยุคกลางของยุโรป ภาษาละตินก็แพร่หลายตามไปด้วย บทภาวนาของคริสตจักรและพระคัมภีร์ล้วนแล้วแต่เป็นภาษาละติน ดังนั้น ชาวยุโรปส่วนใหญ่ต้องเข้าใจภาษาละตินสำหรับการสวดภาวนาและการปฏิบัติทางศาสนา ยุคกลางก็ได้รับอิทธิพลจากศาสนาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้คน นี่หมายถึงการที่มีการใช้คำศัพท์ละตินเหล่านี้ทุกวันและบ่อยครั้ง
.
.
.
ตอนนี้ เรายังคงต้องมาพิจารณากันดูว่า ภาษาละตินให้กำเนิดภาษาตระกูลโรมานซ์ได้อย่างไร
ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมมนุษย์เช่นเดียวกับเรื่องของวิวัฒนาการและต้นตระกูลมนุษยยชาติหรือการก่อตัวของสปีชีส์เมื่อเวลาผ่านไป นี่คือเหตุผลที่การแบ่งแยกสปีชีส์มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับการที่ภาษาละตินแพร่หลายไปทั่วยุโรปตามกาลเวลา
Allopatric Speciation คือ การเกิดสปีชีส์ใหม่ในต่างพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เมื่อถูกแยกออกและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ในที่สุด แต่ละสปีชีย์ก็จะกลายเป็นสายพันธุ์ของตัวเอง
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับภาษาละตินในยุคกลางของยุโรป
.
.
.
ภาษาละตินถูกนำมาใช้ทั่วทั้งคริสตจักรและชุมชนในยุโรป แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาษาดังกล่าวก็พัฒนากลายไปเป็นแบบฉบับของพวกเขาเอง แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา เราก็ได้เห็นพัฒนาการดังกล่าวเกิดขึ้นกับภาษาอังกฤษ ภาษาถิ่นที่แตกต่างกันมีอยู่ให้เห็นทั่วสหรัฐอเมริกา เพราะมนุษย์เราปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ภาษาละตินแพร่กระจายและมีการแตกหน่อไปทั่วยุโรป มันก็ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันของชาวอังกฤษด้วย นี่คือสาเหตุที่คำศัพท์ในภาษาโรมานซ์กลายมาเป็นรากศัพท์ส่วนใหญ่ของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
.
.
.
แม้จะได้รับอิทธิพลจากภาษาอื่นๆ แต่ภาษาอังกฤษก็ยังคงเป็นภาษาหลักของเกร็ทบริเทน ในปี 1362 เริ่มมีการใช้ภาษาอังกฤษในโรงเรียนและถูกใช้ในศาลด้วย (แทนภาษาฝรั่งเศส)
แล้วก็มาถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งนำไปสู่การถือกำเนิดของสื่อสิ่งพิมพ์ อันส่งผลให้มีการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษอย่างกว้างขวาง ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้นำไปสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมด้านมนุษยธรรมและความรักชาติ ซึ่งทำให้ผู้คนหันมาใช้ภาษาอังกฤษบ่อยกว่าภาษาโรมานซ์แบบดั้งเดิม
เมื่อภาษาอังกฤษได้รับการขัดเกลามากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านวรรณคดีและนักวิชาการ มันก็ได้กลายมาเป็นภาษาอังกฤษสมัยใหม่ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เฉกเช่นที่เราใช้พูดกันอยู่ในทุกวันนี้