Indirect Speech (IS) คือ การเอาคำพูดของผู้อื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาฟัง โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าอีกทีหนึ่ง เช่น Jack said that it was his pen. แจ๊คพูดว่า มันเป็นปากกาของเขา
จะเห็นได้ว่า การบอกเล่าในลักษณะนี้ มักมีคำเชื่อมอย่าง that ให้เห็นเสมอ
หลักการเปลี่ยนประโยค Direct Speech เป็น Indirect Speechโดยทั่วไปแล้ว จะเปลี่ยนแปลงอยู่ 4 ตำแหน่ง คือ
- 1. เปลี่ยนแปลงกริยาของประโยคนำ
say เป็น say that
said เป็น said that
say to + บุคคล เป็น tell + บุคคล + that
said to + บุคคล เป็น tell + บุคคล + that
- 2. เปลี่ยนแปลงสรรพนามบุคคล(ประโยคในคำพูด)
I เป็น he or she
me เป็น him or her
my เป็น his or her
mine เป็น his or hers
myself เป็น himself or herself
we เป็น they
us เป็น them
our เป็น their
ours เป็น theirs
ourselves เป็น themselves
you (S.) เป็น I
you (O.) เป็น me
your เป็น my
- 3. เปลี่ยนเทนส์ (Tense)
ตัวอย่างเช่น
Direct speech เป็น Present Simple
Jack said, “I want to buy a new car.”
Indirect speech เปลี่ยนเป็น Past Simple
Jack said that he wanted to buy a new car.
- 4. เปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่แสดงความใกล้ เป็นถ้อยคำที่แสดงความห่างไกล มีดังเช่น today , tonight, tomorrow, yesterday, last night, next week, then, ago เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
Direct Speech She says, “I am reading a book now”.
หล่อนพูดว่า “ดิฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ขณะนี้”
.
.
.
Indirect Speech She says that she is reading a book then. หล่อนพูดว่า หล่อนกำลังอ่านหนังสืออยู่ในตอนนั้น
ทั้งนี้ เมื่อประโยค Direct Speech เป็นคำถาม หากจะเปลี่ยนเป็นประโยค Indirect Speech ให้ทำดังต่อไปนี้
1) เปลี่ยนกริยาของประโยคนำเสียใหม่
Direct speech: He said to me, “Why did you come here yesterday?”
หล่อนพูดกับผมว่า “ทำไมคุณจึงมาที่นี่เมื่อวานนี้?”
Indirect speech : he asked me why I went there the day before yesterday.
หล่อนถามผมว่า ทำไมผมจึงไปที่นั่นเมื่อวานซืน
2. ถ้าประโยค Direct Speech ซึ่งเป็นคำถามนั้น ขึ้นต้นประโยคด้วยคำที่เป็นคำถามอยู่แล้วก็ให้คงไว้คงเดิม และไม่ต้องใส่ that เข้ามาร่วมอีก
3. ถ้าประโยค Direct Speech ซึ่งเป็นคำถามนั้น ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย 24 ตัว ตัวใดตัวหนึ่ง โดยมี Question Words มาร่วมอยู่ด้วย ในกรณีเช่นนี้ให้ใช้คำเชื่อมตัวอื่นมาแทน ได้แก่ Whether หรือ if และก็ไม่ต้องใส่ that เข้ามาอีก
4. เปลี่ยนรูปประโยคโครงสร้างของ Direct Speech ซึ่งเป็นคำถามนั้น ให้กลับเป้นโครงสร้างของประโยคบอกเล่า
5. กฎการเปลี่ยนแปลงสรรพนามบุคคล, การเปลี่ยนแปลง Tens และการเปลี่ยนคำใกล้เป็นคำไกลนั้น ให้นำมาใช้ได้ตามปกติ โดยไม่มีข้อยกเว้นอะไรทั้งสิ้น เช่น..
เมื่อประโยค Direct Speech เป็นประโยคคำสั่ง การเปลี่ยนให้เป็น Indirect Speech ให้ทำดังนี้
1. ต้องเปลี่ยนกริยาของประโยค นำไปเป็นกริยาที่มีลักษณะเป็นคำสั่งตัวใดตัวหนึ่ง ทั้งนี้ ให้เหมาะสมกับตำแหน่งฐานะของผู้ออกคำสั่ง
2. จะต้องระบุผู้ถูกสั่งหรือผู้ถูกขอร้องขึ้นมาเป็นตัวกรรม(Object) ของกริยาในประโยคนำเสมอ
3. สั่งให้ทำอะไร ขอร้องให้ทำอะไร ให้เติม to เข้าข้างหน้ากริยาในประโยคคำสั่งที่อยู่ใน Direct Speech นั้น แล้วมันก็จะกลายเป็นประโยคคำสั่งของ Direct Speech ทันที เช่น
Direct Speech: He said to his servant, “Wash the car for me”. เขาพูดกับคนใช้ของเขาว่า, “ล้างรถให้ฉันหน่อย”
Indirect Speech: He order his servant to wash the car for him. เขาสั่งให้คนใช้ของเขาทำอาหารเช้าให้เขา
*สำหรับใครที่กำลังมองหาคอร์สเรียนออนไลน์ สามารถกดปุ่ม inbox มุมขวาล่าง ทักสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะครับ*
คำถามทดสอบ:
1) ข้อใดคือนิยามของ Indirect Speech
a. การนำเรื่องที่ได้ฟังมา มาบอกเล่าโดยไม่มีการดัดแปลงคำพูด
b. การนำเรื่องที่ได้ฟังมา มาบอกเล่าในแบบฉบับของตนเอง
c. การนำเรื่องที่ได้ฟังมา มาบอกเล่าโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 1
d. ถูกทั้งข้อ b. และ c.
2) คำเชื่อมในข้อใด มักถูกนำมาใช้ใน Indirect Speech
a. which
b. how
c. that
d. where
3) เปลี่ยนประโยค Direct Speech นี้ ให้กลายเป็น Indirect Speech
Jack said, “I want to buy a new car.”
a. Jack says that he wants to buy a new car.
b. Jack said that he wanted to buy a new car.
c. Jack said that he wants to buy a new car.
d. Jack says, “I want to buy a new car.”
เฉลย :
1. ( ข้อ b. ) หรือการนำเรื่องที่ได้ฟังมา มาบอกเล่าในแบบฉบับของตนเอง
2. ( ข้อ c. ) เพราะ that ในฐานะคำเชื่อม มีความหมายในเชิง “ว่า….” เช่น “He said that…..” (เขาพูดว่า…..)
3. ( ข้อ b. ) เพราะหนึ่งในวิธีการเปลี่ยนจาก DS ให้กลายเป็น IS คือ การเปลี่ยนข้อความที่ต้องการบอกเล่าจาก Present Simple ให้เป็น Past Simple นั่นเอง