ทำไมต้องเกริ่นว่า ‘You know….’

2569

อย่าว่าแต่เจ้าของภาษาหรือชาวต่างชาติเลยครับ แม้แต่คนไทยบางคนที่ต้องพูดภาษาอังกฤษบ่อยๆเองก็ยังชอบพูดติดปากว่า ‘You know,…….’ เหมือนกัน แหม่…มันช่างดูเทพเหลือเกินกับวลีนี้

…แต่จริงแล้ว มันมีความหมายว่าอย่างไร ทำไมคนส่วนใหญ่จึงพูดกันจนเคยชิน และมันคืออะไร?

.

คำตอบ คือ มันเป็นหนึ่งในคำประเภทที่เรียกว่า Filler words อันเป็นคำหรือวลีที่บางครั้งอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรจริงๆจังๆ แต่เอาไว้พูดเวลาที่เรายังนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร กำลังคิดในขณะที่พูด หรือแค่ไม่อยากให้บทสนทนาเงียบลงกลางคัน ก็เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ดี ที่จริงแล้วยังมี Filler words ที่เจ้าของภาษาหรือชาวต่างชาติเค้านิยมพูดกันจนติดปากอีกหลายคำเลยครับ เดี๋ยววันนี้เราจะมาทำความเข้าใจในบริบทของแต่ละคำกัน

1) You know,……
อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น วลีนี้เป็นวลีในตำนานเลย กับคำว่า You know มันเป็น คำที่เราได้ยินบ่อยมาก ซึ่งสามารถพูดได้ทั้งในเชิงประโยคบอกเล่าและประโยคคำถาม ความหมายของมันก็ประมาณว่า “รู้ใช่มั้ย” หรือ “พอจะนึกออกใช่มั้ย”

ตัวอย่างเช่น
When the elevator went down, I got that weird feeling, you know?
(ตอนที่ลิฟท์ร่วงลงมา ฉันรู้สึกแปลกๆอ่ะ คุณพอจะนึกออกใช่มั้ย?)

2) You know what I mean?
อีกวลีหนึ่งคือ You know what I mean? เป็นประโยคเชิงคำถาม มีความหมายเดียวกันหรือคล้ายๆกับ You know นั่นเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มชาวผิวดำในประเทศอเมริกามักจะพูดย่อสั้นๆว่า “Know mean?” อ่าน โนวมี้น (ทำเสียงสูงด้วย) เอาไว้ถามเพื่อเช็คว่าอีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เราพูดหรือไม่

ตัวอย่างเช่น
I won’t let him ruin your life again, you know what I mean?
(ฉันจะไม่ปล่อยให้เขามาทำลายชีวิตเธออีก เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย?)

3) You see
คำว่า you see ใช้เวลาที่เราหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เราพูด หรือเน้นสิ่งที่เราต้องการจะสื่อออกมาให้อีกฝ่ายตระหนัก

ตัวอย่างเช่น
You see, it’s much better if you do your homework before dinner.
(เห็นมั้ย การทำการบ้านก่อนที่จะกินข้าว มันดีกว่ากันเยอะเลย)


4) What can I say?
หลายคนอาจจะเคยได้ยินตัวละครในภาพยนตร์ต่างประเทศพูดว่า What can I say? ซึ่งมักจะพูดในเวลาที่เราอยากจะอธิบายบางอย่างให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง

ตัวอย่างเช่น
She isn’t like anyone. What can I say? She’s more special.
(หล่อนไม่เหมือนใคร จะพูดไงดีล่ะ? เอาเป็นว่า หล่อนดูพิเศษกว่าคนอื่นน่ะ)


5) By the way
อีกวลีที่น่าจะเคยได้ยินกันบ่อยๆ คือ By the way ซึ่งเอาไว้ใช้เวลาที่เราต้องการเปลี่ยนหัวข้อเรื่องที่จะพูดแบบกะทันหัน แปลเป็นไทยก็มีความหมายในทำนองว่า “อ้อ…” หรือ “ว่าแต่…”

ตัวอย่างเช่น
It’s so hot. I want some ice cream. By the way, what time is it?
(ร้อนจริงๆ ฉันอยากจะกินไอศครีมจังเลย ว่าแต่….นี่กี่โมงแล้วล่ะ?)


6) Really?
คำสุดท้ายนี้ หลายๆคนน่าจะยิ่งคุ้นหูมากขึ้นไปอีก นั่นก็คือคำว่า Really? ซึ่งมีความหมายในทำนองว่า “จริงเหรอ?” หรือ “งั้นเหรอ?” ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นคำที่แสดงความประหลาดใจในสิ่งที่ได้ยินคนอื่นพูด แต่บางครั้งมันก็เป็นเพียง Filler word คือ รู้อยู่แล้วว่าจริง หรือไม่ได้สนใจหรอกว่าจะจริงหรือไม่ เพียงแต่พูดออกมาด้วยความเคยชิน

ตัวอย่างเช่น
“I’ve had dinner with my ex-girlfriend.”
(ฉันเพิ่งไปกินอาหารค่ำกับแฟนเก่ามา)
“Really?”
(งั้นเหรอ?)

นอกจากคำและวลีที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ยังมี Filler words อื่นๆอีกมากมาย เช่น
Well/ So/ Exactly/ Sure/ Certainly/ Definitely/ Let me think/ Something like that/ etc.
แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าเราพูดคำประเภทนี้ออกมาบ่อยเกินไป บทสนทนามันจะดู ไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น เราควรฝึกสนทนาภาษาอังกฤษบ่อยๆ ซึ่งจะช่วยให้ติดการใช้ Filler words น้อยลง หรือถึงจะพูดออกมา ก็จะดูเป็นธรรมชาติเหมือนเจ้าของภาษาและยังช่วยให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยครับ

คำถามทดสอบ:

1) เติมคำในช่องว่าง ให้ถูกต้องตามบริบทของประโยค
We went to Jack’s party, __, it was fabulous!

a. you know
b. you see
c. by the way
d. ถูกทั้ง a. และ b.

2) การเขียนคำว่า Really ในเชิง Filler word ต้องเขียนอย่างไร

a. Really
b. Really!
c. Really?
d. ถูกทั้ง a. และ b.

3) นอกจาก 6 คำที่กล่าวมาแล้ว ยังมีคำใดที่ถือเป็น Filler word อีกบ้าง

a. Well
b. Exactly
c. So
d. ถูกทุกข้อ

เฉลย
1. (ข้อ a.) เพราะประโยคนี้ต้องการสื่อว่า “พวกชั้นไปงานปาร์ตี้ของแจ๊ค เธอพอจะนึกภาพออกใช่มั้ย มันสุดยอดมากเลย”
2. (ข้อ c.) เพราะเป็นการพูดออกมาในเชิงคำถาม จึงต้องมีเครื่องหมาย ? ด้วยครับ
3. (ข้อ d.) คำตอบซ่อนอยู่ในย่อหน้าสุดท้ายครับ

Share
.