ภาษาอังกฤษช่วยชีวิตผม—เรื่องเล่าจากบุรุษนิรนาม

1380

ผมเคยมีเพื่อนอยู่กลุ่มหนึ่ง ประมาณเกือบสิบคน ซึ่งในตอนนั้น พวกเราสนิทสนมกันมาก ใช้เวลาเตร็ดเตร่ร่วมกันในแต่ละวัน มากกว่าอยู่ที่บ้านตัวเองเสียอีก

ก็แน่นอนล่ะครับที่เป็นเช่นนั้น เพราะพวกเราแต่ละคนต่างก็มาจาก ‘ครอบครัวที่แตกแยก’ และมารู้จักกันโดยบังเอิญจากการขลุกอยู่ตาม Games Arcade ในห้างสรรพสินค้าและร้านเกมส์ต่างๆ

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ผมติดต่อกับพวกเขาไม่ได้แล้ว เพราะแต่ละคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง

ทางหนึ่ง คือ ตาย

อีกทางหนึ่ง คือ ติดคุก

ใช่แล้วครับ กลุ่มเพื่อนของผมกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ในสมัยนั้นเรียกว่า ‘กลุ่มเด็กเสเพล’ ซึ่งก็ทำตัวและใช้ชีวิตเหมือนพวก ‘แก๊งสเตอร์’ ที่หลายคนอาจจะเคยได้ชมกันในหนังต่างประเทศทุกวันนี้

โชคดีที่ผมอยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างเส้นทางที่พวกเพื่อนๆในกลุ่มนั้นแยกย้ายกันไป

ความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างพวกเขากับผม คือ ผมเก่งภาษาอังกฤษ

ถึงแม้ผมจะทำเกรดเฉลี่ยได้ไม่ค่อยดี และมักโดดเรียนอยู่เสมอ เหลวแหลกถึงขั้นจบมัธยมปลายมาด้วยจำนวนหน่วยกิตที่พอดีเป๊ะ (ด้วยความช่วยเหลือจากคุณครูท่านหนึ่ง) แต่ผมสนใจเรียนวิชาภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก สอบได้เกรด 4 หรือ เกรด A+ ในวิชานี้มาตลอด

แม้แต่พวกเพื่อนๆที่เกเรในกลุ่มผม ก็ยังรู้ซึ้งและตะลึงในความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผม

บางคนถึงขนาดเรียกผมว่า “ดิคชันนารี่เคลื่อนที่” เพราะในสมัยที่ยังไม่มีกูเกิ้ลหรืออินเตอร์เน็ทนั้น เวลาที่พวกเขาต้องการหรือจำเป็นต้องรู้คำแปลของศัพท์คำใด พวกเขาก็เพียงแค่หันมาถามผม และผมก็ตอบได้ทุกคำ

หลายคนมักจะถามผมว่า “ทำไมถึงเก่งภาษาอังกฤษ

นั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจและผมก็อยากจะถ่ายทอด แต่มันไม่ใช่ประเด็นของการที่ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้

ประเด็นที่ผมเล่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมาให้ฟัง ก็เพื่อที่จะบอกว่า ภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างไร

ภาษาอังกฤษช่วยชีวิตผม

            ย้อนกลับไปในช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิต ในตอนนั้นกลุ่มเพื่อนของผมพยายามที่จะหารายได้เลี้ยงชีพและส่งตัวเองเรียนตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นปวช. (ส่วนผมเรียนอยู่ชั้นม. 4)

            ….แต่สิ่งที่แตกต่าง คือ ในขณะที่พวกเขาเลือกเดินเข้าสู่วงจรธุรกิจสีดำ ผมเลือกที่จะทำอาชีพสุจริต ซึ่งถึงแม้จะไม่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนเพื่อนๆ แต่ผมก็อยู่ในสังคมได้อย่างไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ แถมยังภาคภูมิใจในตัวเองที่สามารถทำงานได้เงินเดือนมากกว่าคนในวัยเดียวกันทั่วไป

            ผมเริ่มจากการเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ย่านพัฒน์พงศ์ ซึ่งมีฝรั่งนักท่องเที่ยวมากมายในแต่ละคืน ที่แจกทิปให้ผม เพียงพอที่จะสามารถส่งตัวเองเรียนได้และเพียงพอกับค่าอยู่ค่ากิน

            จากนั้น พอเข้าสู่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็เริ่มไปสมัครงานที่ร้านหนังสือต่างประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งที่จริงแล้วเขารับแต่พนักงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปเท่านั้น แต่ด้วยการที่ผมสามารถสอบ TOEIC ได้คะแนนมากกว่าบรรดาคนที่จบปริญญาตรีแล้วเสียอีก ผมจึงได้รับการคัดเลือกเข้าทำงานอย่างรวดเร็ว (หลังจากผ่านการทดสอบไอคิวจากสถาบัน Mensa International ด้วย) และผู้สมัครคนอื่นๆ ก็ตกรอบไป

            หลังจากนั้นมา ผมก็ทำงานต่างๆที่ต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษมาตลอด และผมก็ไม่แปลกใจที่ได้ทราบข่าวในภายหลังว่า บรรดากลุ่มเพื่อนที่เคยเสเพลด้วยกันเหล่านั้น สุดท้ายแล้ว บางคนก็ถูกฆ่าตาย บางคนก็ถูกจับติดคุกตลอดชีวิต บางคนก็ตายในคุก (เรื่องราวของบางคนในกลุ่มนั้น ยังเคยมีญาติของพวกเขาไปเล่าในรายการตีสิบ)

            ผมทำงานเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาตลอดชีวิต เป็นแม้กระทั่งคอลัมนิสท์และนักข่าวหนังสือพิมพ์สมัยที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก ผมมีโอกาสเดินเข้าๆออกๆบ้านพักของท่านกงสุลเป็นประจำ ก็ด้วยงานที่ผมทำ

ในช่วงที่อยู่เมืองนอก ภาษาอังกฤษก็ยังช่วยให้ผมมีทางเลือกมากมาย นอกจากจะเป็นคอลัมนิสท์ แทนที่จะต้องเป็นเด็กเสิร์ฟหรือพนักงานนวดตามร้านทั่วไป เหมือนอย่างที่วัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ไปทำกัน ผมยังสามารถรับทำการบ้าน รายงาน และวิทยาพนธ์ให้กับนักศึกษาไทยที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่นั่น ไม่เว้นแม้กระทั่งงานวิจัย (Dissertation) ของด็อกเตอร์บางคน เพราะพวกเขาจะไม่สามารถรับปริญญาได้ถ้างานดังกล่าวไม่ผ่าน ซึ่งการที่งานของพวกเขาไม่ผ่าน ก็เป็นเพราะเขียนออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้ไม่ดี

ถึงแม้ภาษาอังกฤษจะไม่ได้ทำให้ชีวิตผมร่ำรวยมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับจุดจบของบรรดาเพื่อนๆในอดีตเหล่านั้นแล้ว อาจเรียกได้ว่า มันเป็นดั่งปาฏิหาริย์ และเป็นสินทรัพย์อันล้ำค่าสำหรับผม

            ทั้งนี้ จึงต้องขอบคุณวิชาภาษาอังกฤษ ที่ช่วยให้ผมมีทางเลือกในชีวิตที่ดีกว่าเพื่อนๆกลุ่มนั้นของผม ไม่อย่างนั้นแล้ว ผมคงจะถูกชักนำให้ไปพัวพันและลงเอยแบบเดียวกันกับพวกเขาก็ได้

            สำหรับคำถามที่ว่า “ทำอย่างไรจึงจะเก่งภาษาอังกฤษได้บ้าง”

            คำตอบของผม คือ เราต้องให้ความสำคัญกับมัน จากนั้นก็จงสนใจเรียน แล้วก็หมั่นฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน!

Share