เวลาที่เราพูดถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดหรือเรื่องในอนาคต หลายคนคงมักจะใช้คำว่า I will จนชินอย่างแน่นอน หรือแม้แต่พูดถีงความฝันหรือเป้าในอนาคตก็ยังคงใช้ I will หรือพักเที่ยงจะไปกินข้าวที่ไหนดีก็ยังคงเป็น I will แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าจริงๆ คำว่า Will ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องที่เราใช้พูดเกี่ยวกับเรื่องในอนาคต แต่ทุกสถานการณ์เราจะใช้ will หมด วันนี้เราจึงมาสรุปให้เพื่อนๆ เกี่ยวกับคำที่ใช้ในอนาคตกัน
คำที่ใช้บอกอนาคตไม่ใช่เพียงแต่ Future tense (Will + V.1) แต่ Present simple และ Present continue ก็ใช้บอกอนาคตได้เช่นกัน แต่เรามาเจาะลึกกันว่าแต่ละอันใช้อย่างไร
Present simple: Keyword: ปัจจุบัน ประจำ จริง เกิดเหตุการณ์นี้ 100%
โครงสร้างประโยค: Subject(ประธาน) + Verb(กริยา) ช่องที่ 1 + Objective(กรรม – มีหรือไม่มีก็ได้)
ตัวอย่างประโยค
- A bus comes at 8.00 AM. (รถประจำทางมาตอน 8 โมงเช้า)
- My time off is at 5.00 PM. (เวลาเลิกงานของฉันคือตอน 5 โมงเย็น)
- There is no rush hours on weekend. (ไม่มีชั่วโมงเร่งด่วนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์)
จากประโยคเพื่อนๆ จะเห็นว่าเป็นการบอกอนาคตก็จริง แต่เป็นอนาคตที่เกิดขึ้นเป็นประจำในทุกวัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเกิดเป็นการบอกอนาคตประเภทนี้เราจะใช้ Present Simple และเราจะไม่ใช้คำว่า Will เช่น My time off will be at 5.00 PM(เวลาเลิกงานของฉันจะเป็น 5 โมงเย็น) เว้นแต่ว่าวันนั้นจะเลิกไม่ตรงกับเวลาปกติ
Present continuous: Keyword บอกสิ่งที่กำลังจะเกิด มีการวางแผน หรือ มีช่วงเวลาที่แน่นอน โอกาสเกิดสูง
- โครงสร้างประโยคที่ 1 : Subject(ประธาน) + Verb to be(is, am, are) + verb(กริยา) ช่องที่ 1 + (กรรม – มีหรือไม่มีก็ได้)
- โครงสร้างประโยคที่ 2 : Subject(ประธาน) + Verb to be(is, am, are) + going to + verb(กริยา) ช่องที่ 1 + (กรรม – มีหรือไม่มีก็ได้)
ตัวอย่างประโยค
- I am going to Siam Paragon to buy new computer tomorrow. (ฉันจะไปสยามพารากอนพรุ่งนี้เพื่อที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่)
- I am going to her birthday party. (ฉันจะไปงานวันเกิดของหล่อน)
- I am planning to study in Master degree in next month. (ฉันจะวางแผนที่จะเรียนต่อปริญญาโทในเดือนถัดไป)
- We are preparing a presentation after we are off work. (พวกเราจะเตรียมงานนำเสนอหลังจากที่พวกเราเลิกงาน)
เพื่อนๆ สังเกตหรือไม่ว่า การเตรียมการสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน Present continuous นั้นแตกต่างกับ Present Simple โดยสิ้นเชิงเพราะแต่ละกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ใช่กิจกรรมหรือแผนการที่เกิดขึ้นในปกติทุกวันๆ แต่เป็นสิ่งที่เราได้ทำการวางแผนไว้แล้วนั่นเอง และมีช่วงเวลาบอกที่ชัดเจน
Future tense: Keyword บอกถึงอนาคตที่ “อาจจะเกิด / น่าจะเกิด” และไม่ได้ทำการวางแผนล่วงหน้าเป็นการตัดสินใจแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน
โครงสร้างประโยค: Subject(ประธาน) + will(จะ) + Verb(กริยา) ช่องที่ 1 + Objective(กรรม – มีหรือไม่มีก็ได้)
ตัวอย่างประโยค
- I will have lunch at 12.35 PM. (ฉันจะไปทานอาหารกลางวันตอนเที่ยง 35 นาที)
- Will we go to have dinner together? (พวกเราจะไปทานอาหารเย็นด้วยกันไหม)
- Okay, I will go. (โอเค ฉันจะไป)
- Don’t provoke this dog. Otherwise, it will probably harm you. (อย่าไปยั่วโมโหหมาตัวนี้ล่ะ มิเช่นนั้นมันอาจจะทำอันตรายคุณได้)
- I will go down and buy some coffee. (ฉันจะไปข้างล่างซื้อกาแฟซักหน่อย)
- She will cry if you keep making fun of her. (เธอจะร้องไห้เอานะถ้าคุณยังคงแกล้งเธออยู่)
จากตัวอย่างประโยคจะเห็นว่า Future tense เอาไว้บอกอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นและหรือเป็นแผนการในอนาคตที่เราตัดสินใจทันที เช่น จะลงไปซื้อกาแฟตอนนี้ เป็นต้น
สุดท้ายเรามีตัวอย่างเปรียบเทียบที่ชัดเจนอีกอย่างในการบอกอนาคตระหว่าง Present continuous และ Future tense
Present continuous: It is going to rain because of the cloudy (ฝนกำลังจะตกเพราะเมฆหนา)
Future tense: It will probably rain. (ฝนอาจจะตก)
จะเห็นได้ว่าประโยคเดียวกันแต่ Present continuous เอาไว้ใช้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างมีมูลเหตุ แต่ Future tense เป็นประโยคที่บอกถึงอนาคตแต่ไม่จำเป็นต้องยกมูลเหตุมาประกอบ
คราวนี้เพื่อนๆ คงเข้าใจการบอกอนาคตในภาษาอังกฤษทั้งสามรูปแบบแล้วอย่าลืมลองสังเกตและเอาไปใช้อย่างถูกต้องกันนะ